การอิมโพรไวท์ถ้อยคำบนความสูงของภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง “สุนทรีย์แห่งการเดินทางสัมผัสทางธรรมชาติ เสียงจากภายใน อิมโพรไวท์ถ้อยคำ และการน้อมใจไปหาสิ่งสูงส่งและศรัทธา คือสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้มาตลอดเวลา ผมศรัทธาการเดินทางมาตั้งแต่วัยหนุ่ม หลังออกจากรั้วมหาวิทยาลัย พร้อมกับเขียนหนังสือ ฝึกฝนฟังดนตรีและเล่นกีตาร์ สร้างเสียงดนตรี ฝึกฝนฟังเสียงธรรมชาติ วิญญาณผืนดิน พลังขุนเขา จิตวิญญาณชนเผ่า และเขียนเพลงมาตลอด ผมเลือกทำสิ่งนั้น ผมรักและศรัทธาในสิ่งนั้น ตัดสินใจอีกครั้ง หนังสือเล่มนี้หนามาก ต้นทุนการพิมพ์สูง เป็นภาพสีประกอบ ด้วยภาพหายาก ควรค่าจะวางลงให้รู้ในความงามได้…”


นอนกลางทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ : สุวิชานนท์ รัตนภิมล

สองทางแยกเล็กๆทอดไปในพงหญ้า ทำให้คนเดินรั้งท้ายอย่างผมต้องคาดเดาไปเอง ว่าจะเดินตรงไปหรือแยกขวามือ สองข้างทางนั้นต้นหญ้าต่อข้อกันเหมือนนิ้วมือ ขึ้นรกแน่นหนาท่วมหัว ล้วนแต่เป็นหญ้าแห้งทั้งนั้น ผมนึกถึงฉากหนังของ อากิระ คุโรซาวา เหมือนอยู่ในโลกเหนือจริง ต่างออกไปจากวันก่อนๆ ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตผิดรูปผิดร่าง ไม่ใช่คนขนาดเล็กลง แต่ต้นหญ้าสูงใหญ่ขึ้น

ผมกำลังเดินไปบนก้าวย่างภวังค์ความฝันเฟื่อง คำถามผุดพรายขึ้นมาในใจ โลกเราไม่ได้เดินไปข้างหน้าด้วยความฝันเฟื่องหรอกหรือ? โลกในอดีตอีกเล่า ยิ่งย้อนเวลาลึกข้ามผ่านโลกล้านปี ยิ่งต้องกลับไปฝันเฟื่องกันใหม่จริงๆ จนดูราวกับว่ามวลสารความรู้ในปัจจุบัน เพิ่งเดินมาตอบคำถามได้ไม่นานนี่เอง

ผมเดินไปคนเดียวท่ามกลางดงหญ้ารกและหมู่ก้อนหิน อดคิดไกลไปถึงโลกร้อยล้านปีไม่ได้จริงๆ ก่อนผมจะขึ้นมาถึงอาณาบริเวณยอดดอยหลวงครั้งแรกนั้น ผมจำได้ว่าผมอ่านข้อเขียน ที่พูดถึงโลกยุคเพอร์เมี่ยน(Permian period) ที่อยู่ในช่วงเวลา 250-300 ล้านปีก่อน

ยุคของความเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกครั้งใหญ่ หรือจะบอกว่าห้วงเวลาของความย่อยยับก็ได้ เกิดอะไรขึ้นกับโลกในช่วงเวลานั้น
“ยุคสัตว์เลื้อยคลานเฟื่องฟู กิ้งก่ายักษ์มีครีบและไม่มีครีบยาวหลายสิบฟุต(เช่น Dimertrodon) ในน้ำตามชายบึงหนองน้ำ ส่วนในมหาสมุทรก็มีเมโซซอร์หัวยาวคอยาว มีสัตว์ที่ขาสั้นคล้ายสัตว์ที่เรียกลูกด้วยนม ฟันคม(เช่น moschop) สูงกว่าหกฟุต ยาวกว่าแปดฟุต ดุร้ายมาก ป่าไม้ขยายพัฒนาอย่างกว้างขวาง”

แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ โลกเป็นเช่นไร ?
“…ไม้คล้ายสนสูง 100 ฟุต ป่าไม้ครั้งแรกของโลกหลายพันธุ์ แต่ล้วนมีกิ่งมีใบโปร่งคล้ายใบเฟิร์นอยู่รอบๆคอคบ หางม้าและปรงชนิดต่างๆ อากาศดี อบอุ่น แมลงมากขึ้น ตัวใหญ่มาก แต่ไม่มีปีก เริ่มมีหญ้าปกคลุมตามพื้นดิน”
นั่นเป็นโลกในช่วงเวลา 350 ล้านปี

โลกต่อมาเป็นไง ?
“โลก 330 ล้านปี แมลงเริ่มมีปีก ขนาดใหญ่มากขึ้น แมลงปอตัวยาวห้าหกฟุต เริ่มมีแมลงสาบยาวสามฟุต พอถึงโลก 310 ล้านปี ปลาซีลาแค้นท์(Coelacanth) เริ่มมีสัตว์เลื้อยคลานที่มีเลือดเย็นที่เป็นต้นตระกูลแรก (Stem reptile เช่น Semourial) ป่าไม้เริ่มสมบูรณ์ แต่ล้วนมีกิ่งก้านอยู่ตามคาคบ(Vasoular tree) ทั้งนั้น”

จากห้วงเวลานั้น โลกก็เข้าสู่ยุคเพอร์เมี่ยน 270 ล้านปี แล้วห้วงเวลาเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ก็มาถึง
“…การเคลื่อนที่ของแผ่นดินทวีปแพนเกียไปทางเหนือ นำความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นในมวลน้ำ ทำให้มวลสัตว์น้ำทุกชนิดที่เคลื่อนตัวได้หนีไปหาเส้นศูนย์สูตร ภูเขาไฟระเบิดจากการเคลื่อนของพื้นดิน เป็นความพินาศที่ยิ่งใหญ่ จนสัตว์บกสัตว์น้ำและพืชต่างๆ ต้องสูญสิ้นตระกูล สิ่งมีชีวิตได้สูญพันธุ์ไปร่วม 60 เปอร์เซ็นต์”

ยุคเพอร์เมียนนี่เอง แผ่นเปลือกโลกยกตัวสูงขึ้น ท้องน้ำก้นมหาสมุทรกลับกลายเป็นยอดเขา ตะกอนทะเล ซากสัตว์ทะเล ปรากฏเป็นซากฟอสซิลในเวลาต่อมา

ความเก่าแก่ของชั้นหินในยุคเพอร์เมี่ยน นำมาซึ่งการเปลี่ยนผ่านชีวิต
กระทั่งถึงยุคไดโนเสาร์ ทั้งกินพืชและกินสัตว์ แล้วไม้ดอกยืนต้นก็งอกตามมา
โลกให้กำเนิดนก สัตว์มีปีกบินได้
แล้วถึงเวลาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
สัตว์ฟันแทะก็ปรากฏตัว

5 ล้านปีก่อน บาบูนแยกจากต้นลำดับย่อยของลิง
“… 2 ล้านปีก่อน โฮโมอีเร็คตัส หรือโฮโมแฮบิลิส บรรพบุรุษมนุษย์ กอริลลา
ซิมแปนซี”
1 ล้านปีก่อน โฮโมอีเร็คตัส(Homo erectus)
2 แสนล้านปี โฮโม ซาเปียนโบราณ
1 แสนปี โฮโม ซาเปียนนีอันเดอร์ธัลลิส
40,000 ปี มนุษย์โครมาญอง มีภาพมือที่ผนังถ้ำ ….
เรากำลังเดินอยู่บนร่องรอยสิ่งมีชีวิตโบราณ มนุษย์โบราณ

อ่างหินยักษ์ที่เรียกกันในชื่ออ่างสลุง เคยผ่านช่วงเวลาของไดโนเสาร์กระโดดโลดเต้นมาก่อน นกยักษ์เหินเวหาบินว่อน คู่ไปกับพวกไดโนเสาร์กินพืชที่มีน้ำหนัก 100 ตัน มาถึงดินแดนแห่งนี้ ต้องนึกถึงเรื่องของการกำเนิดโลก กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ความเก่าแก่โบราณที่ราวกับหยั่งทบทวนถึงความฝัน ที่ดูเป็นแผ่นฝ้าจางๆจับรอยอดีตไว้ และแทบจะเข้าถึงได้ด้วยพลังแห่งจินตนาการเท่านั้น ความยิ่งใหญ่ยาวนานในโลกล้านปี แทบจะถูกตัดออกไปจากชีวิตประจำวัน เราอยู่ด้วยความจริงที่เขียนผ่านความรู้ และเรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์อันแสนสั้นเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมุ่งหวังไปสู่หนทางอมตะ เราแทบจะหลงลืมหายนะที่เกิดขึ้นกับดาวโลกครั้งแล้วครั้งเล่า บนเส้นทางก่อเกิดและดำรงอยู่บนเวิ้งว้างจักรวาล

โฮโม ซาเปียน โฮโม ซาเปียนนีอันเดอร์ธัลลิส หรือมนุษย์โครมาญอง ล้วนเป็นบ่อเกิดที่มาแห่งเชื้อพันธุ์มนุษย์ เคยมีฝรั่งมาสำรวจแหล่งมนุษย์โบราณที่ดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งได้ข้อสรุปออกมาว่าเคยมีมนุษย์ถ้ำโบราณอาศัยอยู่จริงๆ ด้วยหลักฐานจากเครื่องมือหิน ผลพวกจางหายนะของแผ่นเปลือกโลกในยุคเพอร์เมียน ทำให้เกิดกลุ่มยอดเขาหินปูนดอยหลวงเชียงดาว ที่คงลักลักษณะพิเศษเอาไว้จนถึงตอนนี้ ด้วยลักษณะเด่นของพันธุ์พืชและสังคมพืชแบบกึ่งอัลไพน์

กึ่งอัลไพน์(Sub-akpine Vegetation) มาจากความหมายรูปลักษณ์สังคมพืชอัลไพน์ นั่นคือสังคมพืชที่พบแต่ในเขตหนาว หรือเขตร้อนบนความสูงเกิน 3,500 เมตร ความสูงขนาดนี้จะไม่มีไม้ยืนต้น ด้วยเหตุจากอากาศหนาวจัด ลมพัดแรง แต่บนดอยหลวงเชียงดาวกลับมีไม้ก่อหลายชนิด ค้อเชียงดาว ปรง อันเป็นไม้ที่วิวัฒนาการมายาวนาน และต้องบันทึกลงไปว่าเป็นไม้กึ่งอัลไพน์ หมายถึงระดับความสูงที่ต่ำลงมา อยู่ในระดับเกิน 1,900 เมตร ซึ่งอากาศจะแห้งแล้ง ลมเย็นพัดแรง อีกทั้งเป็นความกันดารของทุ่งเขาหินปูนไม้ที่โตขึ้นมาจึงดูแคระแกร็น เติบโตช้า ด้วยเหตุปัจจัยจากสภาพหินปูที่มีสภาพเป็นกรดสูง และหยั่งรากไชชอนได้ยากลำบาก

ดังนั้น พืชพันธุ์ไม้บนดอยหลวงเชียงดาว จึงได้รับการถ่ายเทเชื้อพันธุ์ผ่านความสูง ซึ่งพันธุ์ไม้บนความสูงเดียวกันจะพัดมาถึงกันได้
เชื้อพันธุ์พืชที่พบได้ตามเทือกเขาหิมาลัย กลับมาพบที่ดอยหลวงเชียงดาวด้วย ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึง ลักษณะพิเศษเฉพาะถิ่นของดอยหลวง ว่าไม่อาจเทียบเคียงกับพื้นที่อื่นของโลก เหล่าพันธุ์พืชที่วิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคเพอร์เมียน ยังสืบทอดสายพันธุ์เฉพาะบนหมู่ยอดหินปูนดอยหลวงเชียงดาว ผมเดินมาถูกทางจริงๆ คืนนี้ เราจะค้างคืนท่ามกลางทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ ความมหัศจรรย์ที่โลกยุคเพอเมี่ยนร์ทิ้งร่องรอยเอาไว้

อ้างอิงถึงหนังสือ จักรวาลกับสัจธรรม แควนตัมจิตวิญญาณ โดย นายแพทย์ประสาน ต่างใจ


นี่คือ ปกิณกะจากใจ (3)
*เดินไปถึงเรือนยอดแต่ละยอด ผมมีรูปไว้เป็นที่ระลึก ไปถึงดินแดนลมกับหิน ผมสมควรนั่งลงบันทึกรูปกลับมาไว้ในความทรงจำ ทั้งรูปและนามก่อนจากมา รูปที่เห็น สูงสุดบนเรือนยอดสามพี่น้อง กับยอดพีระมิด
**ชุดปีนเขามีสองชุด ชุดแห้งกับชุดเปียก ชุดเปียกไว้ใส่ลุยเดินจนกว่าจะลงมาถึงพื้นราบ จะมีกลิ่นเพียงใด สาบเหงื่อแค่ไหน หรือเปียกฝนก็ต้องใส่ซ้ำ ใส่มันจนแห้ง กลิ่นใหม่ช่างเป็นกลิ่นเก่าแก่กลมกลืนกับกลิ่นภูเขาใหญ่ ส่วนชุดแห้งนั้น เก็บไว้นอนอย่างเดียว ใส่ห่อถุงพลาสติกไว้อย่างดี มันเป็นกลิ่นไม่อาบน้ำหมักหมมอย่างต่อเนื่อง