องอาจ เดชา หรือ ภู เชียงดาว คือ เด็กหนุ่มชาวเชียงใหม่ที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองด้วยการอ่านและการเขียนหนังสือ ชีวิตวัยเด็กดิ้นรนเรียนหนังสือเพื่อเป็นครูดอย ใช้ชีวิตแบบคนภูเขา กลางวันสอนหนังสือให้กับเด็กนักเรียน ส่วนกลางคืนสอนหนังสือให้กับชาวบ้าน ยามเปลี่ยวเหงาหยิบปากกาเขียนบันทึก เมื่อพบเจอกับเพื่อนรักจึงชักชวนสู่อาชีพนักเขียน นักข่าว คอลัมนิสต์ เปลี่ยนชีวิตจากครูดอยสู่การเป็นนักเขียนรางวัลสารคดี “คนค้นคน” และรางวัล “เซเว่นบุ๊คอวอร์ด” หลังจากนั้น เติบโตเป็นบรรณาธิการหนังสือ บรรณาธิการวารสาร เลือกใช้ชีวิตที่สงบสุขอยู่ในหุบเขา ทำฟาร์มเกษตรและที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว สร้างกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็ก ณ ม่อนภูผาแดง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

เมล็ดพันธุ์วรรณกรรม
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ผมชอบอ่านหนังสือ ผมชอบวิชาภาษาไทยและวิชาสังคม จำได้ว่า ทุกวัน คุณครูประจำชั้นจะเล่าวรรณคดีเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ผมซึมซับวรรณกรรม วรรณคดี ฟังเรื่องเล่าวันละนิด ชวนให้ติดตาม ทำให้ผมเริ่มชอบวรรณกรรม ชอบวรรณคดีโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนหน้านั้น ผมก็ชอบอ่านหนังสือนะ บ้านเกิดของผมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา ชื่อ หมู่บ้านแม่ป๋าม ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า ถนนหนทางไม่ดี เดินทางลำบากมาก กว่าจะเดินทางถึงตัวเมือง จำได้ว่าตอนนั้นมีรถโดยสารของชาวบ้านคันเดียวในหมู่บ้าน เพื่อเดินทางไปตลาด แม่จะตื่นตี 3 แล้วชวนผมไปจ่ายตลาดด้วย ผมจำได้ว่า อยากไปตลาดเพราะผมได้กินขนม และที่นั่นมีแผงหนังสือ มีคนขายหนังสือพิมพ์ ทุกครั้ง ผมจะขอเงินแม่ซื้อหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะมานั่งอ่าน
ผมมีโอกาสไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนเชียงดาววิทยาคม โลกของผมกว้างมากขึ้น ผมเริ่มเข้าห้องสมุด ได้อ่านหนังสือดีๆ นิตยสารชัยพฤกษ์ รู้จักนิตยสารวัยหวาน มันเป็นการเรียนรู้โดยไม่รู้ตัว แต่ผมชอบหนังสือนอกเวลามาก อย่างเช่น คนเผาถ่าน, พลายมะลิวัลย์, อยู่กับก๋ง, ลูกอีสาน, ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก, ฉันอยู่ที่นี่…ศัตรูที่รัก, ต้นส้มแสนรัก หนังสือเหล่านี้มันทำให้ผมได้ซึมซับงานวรรณกรรมไปโดยไม่รู้ตัว พูดง่ายๆ คือชอบหนังสือนอกเวลา และเกลียดวิชาคณิตศาสตร์มากๆ
เมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผมสอบได้โควต้าเข้าเรียนช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ พอรู้ข่าวสอบได้ก็ตั้งใจจะไปบอกพ่อกับแม่ที่กำลังอยู่กลางทุ่งนา พวกเขากำลังเกี่ยวถั่วเหลือง มัดถั่ว ส่วนผมดีใจที่จะมีที่สถานที่เรียนต่อ พอผมบอกพ่อกับแม่ว่าได้โควต้าช่างยนต์ พ่อแม่ส่ายหัว บอกไม่ให้เรียน บอกไม่มีเงินส่งเรียนหรอก คงเป็นเพราะครอบครัวของผมลำบากมากในช่วงนั้น ผมเสียใจ ร้องไห้ เพราะผมก็มีความฝัน เหมือนกับเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ที่อยากไปเรียนหนังสือในเมือง สุดท้ายพ่อบอกไม่ให้เรียน ให้มาช่วยกันทำนาทำสวนกันดีกว่า ตอนนั้น ผมได้แต่ร้องไห้ และก้มหน้าก้มตาทำงานไปอย่างเก้ กังๆ เพราะตอนนั้นผมเป็นเด็กที่ตัวเล็กมาก ทำงานหนักไม่ไหว
พี่ชายคนโตเห็นว่าผมยังเป็นเด็ก ตัวเล็ก ทำไร่ทำสวน ทำงานหนักไม่ไหว พี่ชายจึงบอกกับพ่อแม่ว่า ให้ผมไปเรียนหนังสือดีกว่า แต่เวลาล่วงเลยเข้ากลางเดือนพฤษภาคม โรงเรียนปิดรับสมัคร โรงเรียนหลายแห่งเริ่มเปิดเทอม ผมไม่มีที่เรียน สุดท้าย ญาติๆ ได้แนะนำว่าเหลือโรงเรียนเดียวเท่านั้น คือโรงเรียนธรรมราชศึกษา หรือโรงเรียนวัดพระสิงห์ ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันว่า ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของนักเรียนเกเรทั้งนั้น แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ จนเรียนจบ ผมก็ยังค้นหาตนเองไม่เจอว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี พอดีมีญาติที่มีบ้านอยู่ที่ชุมชนระแกง ได้ชวนผมไปทำงานร้านเหล็กในตัวเมืองเชียงใหม่ จำได้แม่นยำเลย ชื่อร้าน ก.เจริญสตีล ตั้งอยู่เยื้องๆ กับร้านหนังสือสุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ถือว่าเป็นอาชีพแรกหลังเรียนจบ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ผมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ กางเกงขาดๆ เนื้อตัวมอมแมม ทำงานแบกเหล็ก ส่งเหล็กไปตามอำเภอต่างๆ หลังจากนั้น ก็เปลี่ยนงานเป็นพนักงานเก็บเงิน ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเก็บเงินตั้งแต่ในเมืองเชียงใหม่ ถึงอำเภอฝาง อำเภอแม่อาย
ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ผมชอบอ่านหนังสือ จำได้ว่า ใกล้ๆ กับร้านเหล็ก ตรงข้ามร้านสุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ ในตัวเมืองเชียงใหม่ มีร้านหนังสือเก่าร้านหนึ่งที่ผมชอบไปขลุกอยู่ในร้านนานเป็นครึ่งวัน ที่นั่นผมค้นเจอโลกหนังสือ โลกวรรณกรรม ผมเจอหนังสือดีๆ ของนักเขียนไทย อย่างเช่น เสนีย์ เสาวพงศ์,ลาว คำหอม,ชาติ กอบจิตติ, รงค์ วงษ์สวรค์,มาลา คำจันทร์ ,พิบูลศักดิ์ ละครพล , ถนอม ไชยวงแก้ว , เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และยังเจองานเขียนดีๆ ของนักเขียนต่างชาติ อย่างเช่น คาลิล ยิบราน, เฮมมิ่งเวย์, จอห์น สไตน์เบ็ก,เฮอร์มาน เฮสเส,นากิบ มาฟูซ,รพินทรนาถ ฐากูร, คนุต ฮัมซุน, เพิร์ล เอส.บัค, อัลแบร์ กามู, ปาโบล เนรูดา ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เราจะมาเจอหนังสือวรรณกรรมดีๆ ในร้านหนังสือเก่า การได้มีโอกาสมาเจอหนังสือ อ่านหนังสือเหล่านี้ เหมือนผมได้มาเจอโลกใหม่ และมีส่วนเติมเต็มในเรื่องมุมมองความคิด เรื่องชีวิต จิตวิญญาณมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้น ผมสมัครเป็นครูการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เขาเรียกว่า ครูอาสา หลักสูตรการศึกษาเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐาน สอนผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ ตอนนั้นเขารับสมัครครูอาสา วุฒิการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไป พอดีมีครูในหมู่บ้านแนะนำ ผมก็ไปสมัครก็ได้เป็นครูสอนผู้ใหญ่ในช่วงกลางคืน ที่ โรงเรียนบ้านสุขฤทัย ผมพักอยู่ที่หมู่บ้านหัวเมืองงาม หรือบ้านสุขฤทัย ซึ่งเป็นชุมชนบ้านคนจีนและมีหย่อมบ้านอาข่าใกล้ๆ กัน เดินเท้ามาเรียนกัน เพราะทุกคนส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือภาษาไทยเลย สอนผู้ไม่รู้หนังสือ ให้เขาอ่านออกเขียนได้และได้วุฒิการศึกษา เพราะทุกคนก็อยากเป็นคนไทย
ถนนสายท่าตอน-แม่จัน สมัยนั้นถือว่าเปลี่ยวและกันดารมาก ว่ากันว่า เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดของกลุ่มว้าแดง และหมู่บ้านที่ผมไปสอนนั้น ก็จะต้องผ่านหมู่บ้านห้วยส้าน ของเลาต๋า ที่หลายคนรู้ดีว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในแถบนี้ด้วย จำได้ว่า ช่วงกลางวัน ผมจะขับมอเตอร์ไซค์มาทำงานช่วยงานที่สำนักงานศึกษาธิการอำเภอแม่อาย พอตกค่ำ ผมจะต้องรีบกลับไปสอนหนังสือให้กับชาวบ้านที่หัวเมืองงาม ทางเปลี่ยวมาก จะมีซุ้มยาดองเรียงรายสองข้างทาง ผมจะแวะกินยาดองย้อมใจ เพราะยุคสมัยก่อนน่ากลัวมาก ชาวบ้านแถวนี้บอกว่า ถ้าเราเจอรถกระบะมีสัญลักษณ์รูปดาบไขว้ ขอให้หลบก่อนเลย
แต่ยังพออุ่นใจเพราะหมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่ มีตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ตั้งด่าน ตั้งฐานเล็กๆ ผมกับเจ้าหน้าที่คุ้นเคยกันดี บางครั้งเขาต้องออกไปรับเงินเดือนที่ตัวอำเภอ ไม่มีใครอยู่ด่าน เขาก็เอาปืน HK33 ยื่นให้ผม สอนผมให้ใช้อาวุธปืน บอกว่าขึ้นลำเพลิงอย่างนี้ แล้วเล็งยิงอย่างนี้นะ แล้วเขาก็หายตัวไปจนค่ำมืด ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมากในวัยหนุ่ม
หลังจากนั้น ผมรับผิดชอบ ตำบลบ้านหลวง อำเภอแม่อาย เป็นครูอาสาระดับตำบล ช่วงนั้นเป็นช่วงวัยรุ่น ยังไม่ได้คัดเลือกทหารเลย สมัยก่อนจะมีสภาตำบล ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าส่วนราชการจะมาประชุมกันทุกเดือน ผมเป็นเด็กที่สุด ตอนนั้นยังสั่นๆ อยู่เลย แต่ต้องทำงานร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งผมก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป แล้วจำได้ว่า หลังจากผมมีการผ่อนผันทหาร แต่สุดท้ายผมก็ต้องคัดเลือกเกณฑ์ทหาร แต่จับได้ใบดำ ต่อมา ถือว่าเป็นช่วงที่ชีวิตผมเปลี่ยนไปเลย วันหนึ่ง กศน.ก็มีนโยบายปรับคุณสมบัติครูอาสา ผู้บริหารบอกว่า เขาจะเอาครูอาสาที่มีวุฒิการศึกษาอนุปริญญาหรือปวส.ขึ้นไปเท่านั้น นั่นหมายความว่า ผมและเพื่อนครูอีกนับร้อยชีวิตที่มีวุฒิ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ต้องถูกปลดออก

ครูดอย ครูในความฝัน
ผมเคว้งเคว้าง ตกงาน แต่มันก็กลายเป็นแรงฮึด ทำให้ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเรียนต่อ แล้วสักวันหนึ่งผมจะกลับไปเป็นครูดอยอีกครั้งให้ได้ ผมเลือกเรียนต่อที่วิทยาลัยครูเชียงใหม่ หลักสูตรอนุปริญญา พัฒนาชุมชน หลักสูตรสองปีครึ่ง เพราะถ้าเลือกหลักสูตรปริญญาตรี ก็จะใช้เวลานานเกินไป เป็นหลักสูตรที่นักศึกษาสามารถเรียนหนังสือช่วงวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนวันจันทร์-ศุกร์ ผมก็หางานทำส่งตัวเองเรียนไป ช่วงเริ่มต้นเรียนวิทยาลัยครูเชียงใหม่ ผมเคยทำงานเป็นยามโรงแรม จำได้ว่า วันเสาร์อาทิตย์ ผมจะพกเตรียมเครื่องแบบยามใส่กระเป๋าไปด้วย พอเรียนหนังสือเสร็จก็ไปที่ทำงานที่โรงแรมเลย เปลี่ยนเครื่องแบบทำงานเป็นยาม จนกระทั่งผมคุ้นเคยกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันชื่อ ธีระ แก้วสีใส ตอนนั้นเขาทำงานอยู่โรงเรียนกาวิละอนุกูล เป็นโรงเรียนสอนเด็กที่มีความบกพร่องด้านสติปัญญา เพื่อนของผมทำงานห้องผลิตสื่อ เขาชวนผมไปทำงานด้วย ผมรีบไปสมัครและทำงานเลย เงินเดือนน้อยมากแต่ต้องทนเอา อาศัยว่าโรงเรียนเลี้ยงข้าว
ช่วงวันจันทร์-ศุกร์ ผมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ผลิตสื่อ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ เรียนหนังสือ หลังจากนั้น ผมไปสมัครทำงานเป็นครูโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ ใกล้ๆ กับวัดพระสิงห์ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง เป็นครูสอนเด็กตาบอด กินนอนอยู่ร่วมกับเด็กตาบอด ในช่วงเวลานั้น ผมมองเห็นแรงบันดาลใจ ความฝัน ความหวังของคนตาบอด ทุกครั้ง ขณะที่ผมสิ้นหวัง ท้อแท้ ผมจะมองเห็นพลังของเขา เด็กตาบอดมีสัมผัสพิเศษ พวกเขาสามารถพัฒนาตนเอง พัฒนาการเล่นดนตรี คอมพิวเตอร์เด็กบางคนสามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติตามโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ,ยุพราชฯ, หอพระ เด็กโตที่จบชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย ก็ไปเรียนร่วมกับเด็กตามมหาวิทยาลัย บางคนเรียนจบปริญญาตรี
ต่อมา ผมเปลี่ยนงานเปลี่ยนหน้าที่จากพี่เลี้ยงเด็กตาบอด มาทำหน้าที่เป็นครูผลิตสื่อ คือมาช่วยพิมพ์อักษรเบรลล์ ใช้เครื่องพิมพ์ตัวนูนที่ต้องใช้แรงกระแทกแรงๆ ให้กลายเป็นตัวนูน ตัวอักษรเบรลล์ ต่อมาเมื่อมีโปรแกรมทันสมัยขึ้น คือสามารถพิมพ์บนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ธรรมดาเป็นภาษาไทย แต่พิมพ์ออกมาเป็นอักษรอักษรเบรลล์ได้เลย
ฉากชีวิตในโรงเรียนตาบอด มันมีทั้งเรื่องราวของความสิ้นหวังและความหวัง บางครั้ง ผมมองเห็นเด็กวัย 6-7 ขวบ พ่อแม่มาจากต่างจังหวัด เอามาปล่อย ให้อยู่กินนอนในโรงเรียน บางครั้งผมมองเห็นเด็กกอดซี่กรงประตูโรงเรียน ร้องไห้อยากกลับบ้านอยากอยู่กับตายาย แต่ฉากที่ทำให้ผมมีความหวังก็มีมาก เด็กหลายคนเล่นดนตรีได้ บางคนเก่งคอมพิวเตอร์ บางคนมีความฝันและไม่หยุดเพียงแค่นั้น เด็กบางคนชอบมานั่งคุยกับผม บางทีก็ตั้งคำถาม…ท้องฟ้าสีอะไรบ้างนะ ดอกไม้นี้สวยมั้ย บางครั้งผมก็ต้องกลับมาดูตนเอง ตอนแรกก็รู้สึกเคว้งเหมือนกัน เพราะช่วงนั้น แม่ผมเพิ่งสูญเสียแม่ ผมรู้สึกเหมือนขาดที่พึ่ง แต่พอมาเห็นเด็กๆ ตาบอดเหล่านี้ ทำให้ผมต้องฮึดสู้ ชีวิตเรา ร่างกายเรายังพร้อมกว่า ทำให้ผมมีความหวัง มีความฝันต่อ
ผมทำงานที่โรงเรียนสอนคนตาบอด จนกระทั่งเรียนจบอนุปริญญา ผมกลับไปสมัครสอบครูกศน.อีกครั้งหนึ่ง เอาวุฒิอนุปริญญานี้แหละไปสมัคร เลือกครูศูนย์การศึกษาเพื่อเขตภูเขา(ศศช.) หรือครูดอย เริ่มทำงานที่บ้านน้ำบอใหม่ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านชนเผ่าลีซู ตั้งแต่ปี 2537 ถนนไปอำเภอเวียงแหง เป็นอำเภอเล็กๆ ติดกับชายแดนไทย-พม่า ถนนถือว่าโหดลำบากมาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ถนนเละ เป็นโคลนลึก ผมยังจำภาพรถโดยสารไปเวียงแหงชื่อ ‘ดาวทองขนส่ง’ เมื่อก่อนรถดาวทองเป็นรถ 6 ล้อ สีขาว ใครได้ขึ้นก็เหมือนอยู่ในฉากหนังไทยสมัยก่อนเลย และจำได้ว่าตอนขึ้นไปครั้งแรก ก็มีข่าวเรื่องโจรภูเขาปล้นรถดาวทอง ยิ่งทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นไปด้วย
ผมจำภาพเหตุการณ์ตอนเดินทางไปบ้านน้ำบอใหม่ครั้งแรก ต้องแบกเป้เดินเท้า ขึ้นดอยลอยห้วย ไปครั้งแรกผมได้อะเลผะ หนุ่มลีซูบ้านแม่แตะ อาสาพาขึ้นไปส่ง แต่เขาก็พาผมหลงทางกลางป่าจนได้ นานหลายชั่วโมง กว่าจะเจอชาวบ้านคนเลี้ยงวัว ชี้ทางไปอีกทางหนึ่ง จนถึงหมู่บ้านก่อนมืดค่ำ เมื่อเดินทางถึงโรงเรียน เด็กๆ เยอะมาก ผมคือครูคนเดียว สอนเด็กนักเรียน 52 คน กลางวันสอนเด็กนักเรียน กลางคืนสอนการศึกษาผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ บางคนพูดภาษาไทยไม่ได้เลย เพราะเพิ่งหนีอพยพมาจากฝั่งพม่าเข้ามา แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก เหมือนผมได้มาอยู่โลกใหม่ เรียนรู้วิถีชนเผ่า มีทั้งสุข ทุกข์ อยู่ในหุบเขา อยู่ในหมู่บ้านทางผ่านของผู้ลี้ภัย เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด เป็นทางผ่านไปดอยสามหมื่น ไปห้วยน้ำดัง เมืองปาย แต่ความเป็นครูแตกต่างกับเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ คือจะแตกต่างกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหาร ตำรวจ ชาวบ้านรักเคารพครูมากกว่า เหมือนเป็นที่พึ่งของเขา ถ้าเกิดเหตุการณ์มีปัญหาชาวบ้านจะเชื่อฟังครู ปกป้องครู
มีเหตุการณ์หนึ่งที่ยังอยู่ในความทรงจำของผม ก็คือลูกศิษย์ของผมป่วย ท้องร่วง พ่อแม่ของเขาร้องไห้สะอึกสะอื้น และยอมรับสภาพว่าลูกของเขาใกล้ตายแล้ว ตอนนั้น หมอผีเขาจุดธูป ใส่ชุดประจำเผ่าให้เด็กแล้ว ผมเห็นแล้วรู้สึกสงสาร รับไม่ได้ จึงบอกเลาหลู่ พ่อของเด็ก ว่าเดี๋ยวครูจะอาสาพาเด็กไปส่งโรงพยาบาล ตอนนั้น ผมเอามอเตอร์ไซค์ของผม ไต่ตามทางเท้า ผ่านสันดอยไปถึงหมู่บ้านเป็นคันแรก มีคันเดียวในหมู่บ้าน เป็นรถฮอนด้าดรีมสีขาวคุรุสภา ผมขับมอเตอร์ไซค์ แล้วให้เลาหลู่พ่อของเด็กซ้อนท้ายส่วนพ่อเอาลูกสะพายหลังใช้ผ้าขาวม้ามัดรวบเอาไว้ เราสามคนเดินทาง ตอนนั้นฝนเริ่มตกลงมา ทางเต็มไปด้วยดินโคลนลื่นเละตลอดทาง แต่ผมยังตั้งใจพาเด็กไปหาหมอ ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุ รถล้ม ผมค่อยๆ พยุงมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาใหม่ เลาหลู่พ่อของเด็กร้องไห้ แล้วบอกผมว่า ครูๆ ช่วยเอามืออังดูหน่อยว่าลูกเฮายังมีหายใจอยู่มั้ย ผมพยักหน้าอือๆ ออกเดินทางต่อ กระทั่งถึงโรงพยาบาลเวียงแหง พอถึงโรงพยาบาล ทั้งหมอ พยาบาล ช่วยกันปั้มหายใจ แต่ก็ได้เฮือกหนึ่ง สุดท้ายเด็กน้อยก็สิ้นลมหายใจไปแล้ว เรายื้อชีวิตไว้ไม่ทัน
หลังจากนั้น เมื่อกลับไปในหมู่บ้าน ผมเรียกประชุมทั้งหมู่บ้าน ตกลงกันว่า ทุกวันศีลของลีซู ผมจะพาชาวบ้านไปขุดถนน ระหว่างที่ชาวบ้านทำงานขุดถนน ผมก็จะขับมอเตอร์ไซค์ลงไปที่วัดกองลม เพื่อขอเสบียง ทางวัด พอดีผมคุ้นเคยกันดีกับท่านพระครูกันตศีลานุยุต เจ้าคณะอำเภอเวียงแหง ท่านก็จะจัดเตรียมอาหารแห้ง มาม่า ปลากระป๋อง ใส่กระสอบไว้ให้ผมนำไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่มาขุดถนนกัน ถึงเวลาพักเที่ยง พวกเราก็จะกินข้าวด้วยกันกลางป่า ทำแบบนี้หลายปี จนกระทั่ง ถนนเริ่มดีขึ้น รถยนต์สามารถเดินทางขึ้นไปในหมู่บ้านได้
อีกหนึ่งความทรงจำของผม ก็คือผมชอบวิถีของเด็กๆ บนดอยมาก สำหรับการเรียนการสอน ผมเน้นเรื่องการอ่านออกเขียนได้ ภาษาไทย สังคม ที่พอจะเป็นทักษะในการใช้ชีวิต แต่พอช่วงบ่าย ผมจะชอบพาเด็กๆ ลงไปเล่นน้ำห้วย เด็กบนดอยเก่งอยู่แล้ว จับปลา เก็บลูกมะไฟ เก็บผักกรูดตามลำห้วย เป็นความสุขตามประสาของเด็กดอย พอใกล้ค่ำ ก่อนกลับบ้านเขาก็ได้ผัก ได้ไม้ฟืน ช่วงกลางคืนก็ชวนกันมาก่อไฟที่ลานดินของศูนย์การเรียน ทำกิจกรรมเต้น ร้องเพลงรอบกองไฟกัน ชาวบ้านก็จะมาร่วม ผมจะได้รับความจริงใจ ความงดงาม เรารักผูกพันกันมากในช่วงเวลานั้น
ผมสอบบรรจุทำงานเป็นครูดอย ผมใช้วุฒิอนุปริญญา สาขาการพัฒนาชุมชน ตอนมาสอนหนังสือที่บ้านน้ำบ่อใหม่ ตอนแรกๆ ผมจะลงเรียนต่อระดับปริญญาตรี แต่เจออุปสรรคปัญหา คือต้องเดินทางขึ้นลงดอยลำบากมาก ผมเลยหยุดไป แล้วหันมาลงเรียน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.)แทน ผมเลือกลงรัฐประศาสนศาสตร์ หอบหนังสือเล่มใหญ่ มานั่งอ่านนั่งเรียนคนเดียวบนดอย ถึงเวลาสอบก็ลงไปในเมือง จนได้วุฒิ ปริญญาตรี ผมรีบนำไปยื่นกศน.จังหวัด ขอปรับวุฒิ ถึงจะได้เงินเดือนเท่ากันคนอื่นเสียที คือจำได้แม่นยำเลยว่า วุฒิอนุปริญญา ได้เงินเดือน 5,180 บาท แต่เพื่อนครูที่มีวุฒิปริญญาตรี เขาได้เดือนละ 6,350 บาท มันเลยทำให้เราฮึดสู้ อดทนเรียนจนจบ ผมจบรุ่นเดียวกับ เนวิน ชิดชอบ แกเป็นประธานรุ่นด้วย
ตอนเป็นครูดอย ผมได้รับประสบการณ์มากมายหลายอย่าง ผมต้องช่วยเหลือตนเองหมด ตั้งแต่ นึ่งข้าว หุงข้าว ตำน้ำพริกทำกับข้าวเอง มันเหมือนอยู่โลกคนเดียวที่พูดภาษาไทยได้ ชาวบ้านพูดแต่ภาษาชนเผ่าของตัวเอง ตอนเย็นพากันลงไปอาบน้ำในลำห้วย กลางคืนก็มืดสนิทเลย เงียบสงัด บางคืนได้ยินเสียงม้าวิ่งกุบกับไปมา หมู่บ้านจะมีความสุขกันก็ตอนช่วงเทศกาลปีใหม่ลีซู จะมีการดีดซึงหนังแลน เป่าแคนน้ำเต้า ร้องเพลง จับมือเต้นรำกันตั้งแต่ค่ำยันเช้า แต่ก็นั่นแหละ ในทุกสังคมยังคงมีความเหลื่อมล้ำ ไม่ว่าอยู่จุดใด การเอาเปรียบ ความเป็นชนชั้น มีแทรกอยู่ทุกกลุ่มชน บางเรื่องผมพูดออกมาไม่ได้ ผมเห็นความเอาเปรียบ เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างคนดอยกับคนพื้นราบ คือถ้ากลับไปเป็นครูดอย ใหม่อีกครั้ง ผมอยากสอนโลกของ ความเป็นจริง คือเราไม่สามารถหยุดยั้งให้คนดอยใช้ชีวิตบนดอยเหมือนเดิม คือโลกสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว ฉะนั้น ถ้าเป็นได้ผมอยากจะสอนพวกเขาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความเท่าเทียม การเอาตัวรอดในสังคมเมือง ในโลกใบนี้ได้อย่างไร ชุมชนบางชุมชนถูกกดทับ คนยังไม่มีสัญชาติ บางสังคมถูกบีบคั้นจากรัฐ สวัสดิการไม่ครอบคลุม
เมื่อผมกลับไปเยือนชุมชนนี้อีกครั้ง ทำให้ผมรู้สึกว่า ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป พวกเขาเหมือนถูกบีบให้จำยอมจำนนต่ออะไรบางอย่าง สภาพของหมู่บ้านไม่เหมือนเดิม ผู้คนอาศัยอยู่ ก็เหลือเพียงไม่กี่ครอบครัว เหมือนหมู่บ้านร้าง ส่วนชาวบ้านที่เหลืออพยพลงมาอยู่พื้นราบ ตัวอำเภอกัน ใครมีเงินก็มาซื้อที่อยู่ในพื้นราบ อาจเป็นเพราะ ไม่ต้องไปสู้รบขัดแย้งเรื่องที่ดินทำกินกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้กันอีกแล้ว

โลกและความขัดแย้งของคนภูเขา
ผมจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง เกิดเหตุการณ์ชาวบ้านลีซูถางป่ารุกล้ำไปในเขตพื้นที่ป่าต้นน้ำของบ้านเมืองน้อย ซึ่งเป็นชุมชนปกาเกอะญอเขตอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จนเกิดข้อขัดแย้งระหว่างหมู่บ้านปกาเกอญอเขตอำเภอปาย ตอนนั้ ขณะที่ผมกำลังสอนหนังสืออยู่ ก็มีชาวบ้านปกาเกอะญอ ราวๆ 20 คน เดินเท้าลัดป่าลัดดอยมาจากบ้านเมืองน้อย ฝั่งอำเภอปาย ทุกคนมีอาวุธมีด ปืน มาถึงหมู่บ้านลีซูน้ำบ่อใหม่ ผมในฐานะครูในพื้นที่ ได้บอกให้ทุกคนใจเย็นๆ นะ นั่งพักกันก่อน หาน้ำหาข้าวหาปลาให้กินกันก่อน พร้อมรับปากเดี๋ยวจะเรียกชาวบ้านลีซูมาประชุม ถกปัญหา ในที่สุดก็เจรจากันจบลงด้วยดี ผมช่วยเขียนทำบันทึกข้อตกลงเอาไว้ อันนี้เป็นกรณีหนึ่ง ที่ชาวบ้านกับชาวบ้านขัดแย้งกันเอง แต่ส่วนใหญ่ที่เรามักเจอบ่อยก็คือ ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะมีปัญหาขัดแย้งกับทางเจ้าหน้าที่รัฐกันมากกว่า และส่วนมาก ชาวบ้านจะไว้ใจครู และจะขอให้ครูเป็นตัวเชื่อมตัวประสานกับองค์กรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นปลัดอำเภอ ทหาร ป่าไม้ หรือแม้กระทั่งหมอจากปศุสัตว์และโรงพยาบาล
ต่อมา เมื่อผมย้ายมาสอนหนังสือให้กับเด็กที่บ้านฟ้าสวย ชุมชนเล็กๆ ของหมู่บ้านนาเลา ตั้งอยู่บริเวณหลังดอยหลวงเชียงดาว เส้นทางไปตำบลเมืองคอง อำเภอเชียงดาว ทำงานประมาณสองปี ก็ขยับไปรับตำแหน่งครูนิเทศ ก็คล้ายๆ เป็นครูใหญ่ คอยนิเทศดูแลครูผู้สอนในแต่ละศูนย์การเรียน หลายพื้นที่ในอำเภอเชียงดาว การที่เราได้ทำงานคลุกคลีกับกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ในแต่ละพื้นที่ ทำให้เรามองเห็นโลกของความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับภาครัฐมากขึ้น
ยกตัวอย่างเรื่องราวของ อาลูมิ ลูกศิษย์ของผมคนหนึ่งที่บ้านฟ้าสวย-นาเลา เธอเป็นลูกศิษย์ลีซูคนแรกของผม ที่ลงดอยไปเรียนต่อมัธยมจนจบ มัธยมศึกษาตอนปลาย ที่โรงเรียนเชียงดาววิทยาคม แล้วเข้าไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จนจบปริญญาตรี เธอเลือกเรียนสาขาการท่องเที่ยว พอเธอเรียนจบก็กลับไปทำงานที่บ้านนาเลาใหม่ ทำโฮมสเตย์ แล้วก็เจอ ‘นโยบายทวงคืนผืนป่า’ ในยุค คสช. ส่งผลสะเทือนทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ ซึ่งมีวิถีชีวิตอาศัยอยู่กับป่า ได้รับผลกระทบ มีการยึดคืนพื้นที่ หลายรายนั้นถูกจับกุมดำเนินคดี ซึ่งที่หมู่บ้านนาเลาใหม่ที่อาลูมิ ได้ทำโฮมเสตย์ ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เมื่อช่วงวันที่ 18-22 มกราคม 2562 ชุดหน่วยพญาเสือ สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานในเขตพื้นที่อำเภอเชียงดาว เข้าทำการรื้อโฮมสเตย์ของชาวบ้านกันหลายหลัง
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมไม่คุยกันดีๆ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านก็ไม่ได้ทำลายป่า ทำเพียงห้องพักในโซนหมู่บ้านเท่านั้น ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในแกนนำ คัดค้าน ประท้วง เป็นตัวแทนยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กรรมการสิทธิมนุษยชน องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง ก็ต่อสู้กันหลายปี จนช่วงหลัง มาถึงปี 2568 นี้ ทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐ เริ่มเข้าใจกันมากขึ้น ความขัดแย้งคลี่คลายนโยบายรัฐเริ่มผ่อนปรน มีการประชุม รับฟัง กลุ่มชาวบ้านที่เคยถูกกล่าวหาว่าบุกรุกป่าก็กลายมาเป็นฟันเฟือง ขับเคลื่อนดูแลเรื่องการจัดการไฟป่า อย่างรายได้จากโฮมสเตย์ส่วนหนึ่ง ชาวบ้านก็นำมาเป็นกองทุนเพื่อจัดการไฟป่า
ยุคสมัยก่อน วิถีของพี่น้องชาติพันธุ์ปลูกข้าวใช้พื้นที่น้อย แต่ช่วงหลังมีเรื่องเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง มีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีการขยายพื้นที่กันบ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มปรับตัว บางหมู่บ้านที่เคยปลูกข้าวโพดเยอะๆ มีการขยายพื้นที่ มีปัญหาขัดแย้งตลอด ช่วงหลังชาวบ้านเริ่มปรับตัวได้ พอรู้ว่าปลูกข้าวโพดนานๆ ทำให้ดินตาย ดินเสื่อมสภาพ เดี๋ยวนี้หลายพื้นที่เริ่มหันมาปรับเป็นการปลูกมะม่วง ลำไย อาโวคาโด การปลูกไม้ยืนต้นแบบนี้ ก็ย่อมดีต่อสิ่งแวดล้อม เพียงแต่บริหารจัดการ มีการกันพื้นที่ให้ชัดเจน ก็ไม่มีการขยาย ก็เป็นผลดีต่อภาครัฐ เจ้าหน้าที่ไม่ต้องเหนื่อย แถมชาวบ้านยังกลายเป็นคนเฝ้าดูแลพื้นที่แทนได้อีก
ผมสังเกตว่า ปัจจุบันเจ้าหน้าที่รัฐปรับตัวดีมากขึ้น เพราะถ้าใช้นโยบายแบบเดิมคือการปราบปราม ปิดป่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ รังแต่จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง เพราะจริงๆ แล้ว ชาวบ้านเขาก็พยายามมีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหา อย่างเช่น การระดมทุนเพื่อเป็นกองทุนในการแก้ปัญหาไฟป่า คือรัฐต้องทำความเข้าใจ ล่าสุด ชาวบ้านเข้าไปเรียกร้องที่ศาลากลาง กฎหมายลูกมีความขัดแย้ง ซ่อนไว้ สุดท้ายแล้ว เขารู้ว่ามันก็คือการเอาคนออกจากป่า ซึ่งมันย้อนแย้งกับกฏหมายหลักในรัฐธรรมนูญ มันจะทำให้หลายชุมชนได้รับผลกระทบ ฉะนั้น ชาวบ้านก็ต้องลุกขึ้นเพื่อทวงสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายลูกกลับพยายามบีบให้เจ้าหน้าที่รัฐทำหน้าที่แยกคนออกจากป่า
ความจริง กฎหมายสามารถแก้ไขได้ ทำให้กฎหมายเป็นธรรม คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ เหมือนดอยหลวงเชียงดาว ล่าสุด ทางยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นเขตพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่ของโลก ซึ่งในความหมายหรือบริบทของการการประกาศนั้นก็คือ สัตว์ คน ป่า สามารถอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล ฉะนั้น เราต้องทำอย่างนั้นให้ได้ แต่เรามักไปติดกับกฎหมายเก่าๆ อย่าง พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ, พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งกฎหมายเหล่านี้เพิ่งเกิดมาทีหลัง ในขณะที่หลายชุมชน หลายหมู่บ้านนั้นมีประวัติศาสตร์ท้องถิ่น อยู่อาศัยนานก่อนที่จะมีกฎหมายเหล่านี้เสียอีก มันก็เลยกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ความจริงนั้นมีทางออก มีการศึกษาหรืองานวิจัยรองรับว่า หลายพื้นที่ชาวบ้านสามารถดูแลป่าได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่รัฐด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น บ้านแม่คองซ้าย บ้านป่าตึงงาม ในอำเภอเชียงดาว



นักจดบันทึกสู่นักเขียนสารคดีมือรางวัล
สำหรับงานเขียนหนังสือ ผมเริ่มต้นเขียนหนังสือตอนที่เป็นครูดอยที่เวียงแหง คือครูดอยสมัยก่อนนั้น การเดินทางเข้าออกหมู่บ้านบนดอยมันลำบาก ต้องเดินเท้าเข้าไป ไกลปืนเที่ยง ดังนั้น ทางกรม ทางจังหวัดจึงออกระเบียบการทำงาน จะแตกต่างกับครูในพื้นราบ คือจะไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่เขาก็จะให้ทำงานต่อเนื่อง 22 วัน แล้วค่อยมาพักหยุดยาวติดต่อกัน 8 วัน ซึ่งก็เป็นข้อดีคือเราสามารถได้พักยาว ช่วงวันหยุดผมก็จะชอบเข้าไปในเมืองเชียงใหม่ เดินทางไปหาเสบียงอาหารแห้งมาตุนไว้ แล้วก็แวะไปร้านหนังสือมือสอง แถวร้านสุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์นั่นแหละ ก็จะขลุกอยู่ตรงนั้นได้นานเป็นค่อนวัน ค่อยๆ ละเลียดอ่าน ค้นหาหนังสือวรรณกรรมที่ตัวเองชอบ เมื่อได้ก็อ่านหนังสือจนจุใจ ผมจะขนใส่เป้ พร้อมกับเสบียงอาหารแห้งขึ้นไปบนดอย ช่วงนั้น ครูดอยอย่างผมจะมีย่าม มีหนังสือ มีดินสอ สมุดบันทึกพกติดตัวตลอดเวลา ผมเริ่มจากการบันทึกเรื่องราวที่พบเจอในแต่ละวัน เขียนมาจากความรู้สึกข้างใน แต่ยอมรับว่าได้ซึมซับรับเอาอิทธิพลทางวรรณกรรม พออ่านเยอะขึ้น ก็อยากเขียนบันทึกเก็บไว้มากขึ้น ผมก็เขียนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่า มันจะนำมาสู่งานเขียนหรือจะเป็นนักเขียน แต่ผมรู้ว่า ผมชอบอ่านและชอบเขียนมาก
บรรยากาศบนดอยสูง ที่บ้านน้ำบ่อใหม่ ช่วงนั้น เหมาะสำหรับการอ่าน การเขียนมาก เวลาเขียนผมก็จะเล่าให้เห็นฉากบรรยากาศ เขียนไปโดยไม่รู้ว่า มันจะเป็นบทกวี ความเรียง หรือเรื่องสั้น จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็พบกับ วีรศักดิ์ จันทร์ส่องแสง (นักเขียนสารคดี ประจำนิตยสารสารคดีในขณะนี้) คือตอนนั้น เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่จำได้ว่าเขาเริ่มมีงานเขียนสารคดีลงนิตยสารขวัญเรือนบ้างแล้ว ก่อนหน้านั้น ผมมีเพื่อนที่เรียน มหาวิทยาลัยรามคำแหง คือครูเคน-มณทิพย์ สิงขะระ กับครูเสือ-พงษ์ศักดิ์ สงสม แล้วก็มาเป็นครูช่วยสอน กินนอนอยู่บ้านบ่อใหม่ จนชาวบ้านลีซูทุกคนรักเขา แล้วเขาก็เป็นเพื่อนกับ วีระศักดิ์
วีระศักดิ์ เดินทางมาพร้อมกับแฟนสาว โบกรถชาวบ้าน เดินทางมาจากฝั่งอำเภอปาย ของแม่ฮ่องสอน มาทางห้วยน้ำดัง ดอยสามหมื่น แล้วตัดผ่านมายังบ้านน้ำบ่อใหม่ เขาบอกตั้งใจจะมาเยี่ยมหาเพื่อน คือเคน กับเสือ แต่ช่วงนั้น สองคนกลับกรุงเทพฯ แล้วตัวผมก็ลงไปทำธุระในตัวอำเภอเวียงแหง ทำให้ไม่เจอใครเลย สุดท้าย ชาวบ้านพาซ้อนมอเตอร์ไซค์ลงไปเจอผมที่หน้าอำเภอเวียงแหง ผมก็เลยจัดแจงหาที่พักให้นอนค้างคืนแถวนั้นเลย หลังจากเจอวีระศักดิ์ ผมก็เอาสมุดบันทึกดู เมื่อดูแล้วก็บอกเป็นบทกวี นั่นเป็นจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นก็แนะนำให้เขียนส่งตามนิตยสารต่างๆ หลังจากนั้นก็เลยจดที่อยู่นิตยสารบทกวีเรื่องสั้น หลังจากนั้น ก็เริ่มเขียนหนังสือส่งไปยังกองบรรณาธิการชาวกรุง สยามรัฐ เนชั่นสุดสัปดาห์ ผู้จัดการ จุดประกายวรรณกรรมกรุงเทพธุรกิจ ผมเขียนส่งไปรษณีย์อย่างเดียว เพราะผมไม่สามารถติดตามได้เลย แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้รับจดหมายจากวีระศักดิ์ จันทร์ส่องแสง
ผมเปิดดู งานผมได้ตีพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ในชาวกรุง สยามรัฐ ในจุดประกายวรรณกรรม กรุงเทพธุรกิจ วีระศักดิ์ ตัดบทกวีของผมใส่ในซองจดหมายมาให้ ผมรู้สึกตื่นเต้น ดีใจมาก งานของผมมีคุณค่าเพราะมีคนดูแลคอลัมน์ อย่างเช่น นิรันศักดิ์ บุญจันทร์ ,คมทวน คันธนู นั่นทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทำให้ผมรู้สึกมีพลัง มีความใฝ่ฝันอยากเขียนมากยิ่งๆ ขึ้น ซึ่งถือว่าช่วงเวลานั้น ผมมีต้นทุน ผมได้เปรียบ เพราะผมมีวัตถุดิบ มีตัวละครเยอะมาก ฉากบนดอยเป็นวัตถุดิบ คลังภาษาของผมเริ่มสะสมมากขึ้น ก็ได้จากการอ่านหนังสือวรรณกรรม หนังสือสารคดี ที่ผมไปได้จากร้านหนังสือเก่านี่แหละ ผมสามารถหยิบมาใช้ได้ตลอด จนทำให้ผมเริ่มขยับมาเขียนเรื่องสั้น มีหลายเรื่องได้ลงตีพิมพ์ลงในพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่น สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์, เนชั่นสุดสัปดาห์, จุดประกายวรรณกรรม กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องสั้นที่ผมแต่งขึ้นมาก็เอาเค้าโครงมาจากเรื่องจริง ประสบการณ์จริง
หลังจากนั้น เริ่มเขียนสารคดี ส่วนใหญ่เป็นสารคดีเกี่ยวกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากนักเขียนไม่ว่าจะเป็น ‘รงค์ วงษ์สวรรค์, เสกสรรค์ ประเสริฐกุล,สมบูรณ์ วรพงษ์, วีระศักดิ์ ยอดระบำ,วัธนา บุญยัง รวมไปถึงหญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง นามปากกาของสุวิชานนท์ รัตนภิมล นักเขียนเหล่านี้คือแรงบันดาลใจทำให้เราอยากเขียนงานสารคดีมากขึ้น เพราะแต่ละคนจะมีลีลาสำนวน มีตัวละคร มีฉากเดินเรื่อง มีเรื่องราวคล้ายงานวรรณกรรม ตอนที่ผมอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เชื่อมั้ยว่า ผมยังไม่เคยเจอนักเขียนตัวจริงตัวเป็นเลยๆ จะรู้จักผ่านงานเขียนเท่านั้นเอง จนกระทั่งผมมีโอกาสลงจากดอย ขับมอเตอร์ไซค์เข้าเวียง จำได้ว่าครั้งแรกที่มีโอกาสได้สัมผัส ได้เจอนักเขียนตัวเป็นๆก็ที่โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ตอนนั้นเขาจัดงานอะไรซักอย่าง แล้วผมมีจังหวะได้เจอและรู้จักอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ซึ่งเขาถือว่าเป็นสะพานเชื่อมทำให้ผมได้รู้จักนักเขียนหลายคนในคืนนั้น อ้ายแสงดาวพาไปเจออ้ายมาลา คำจันทร์ อ้ายไพฑูรย์ พรหมวิจิตร หลังจากนั้น อ้ายแสงดาว ยังชวนผมไปร่วมงานที่สวนทูนอินของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์
ผมยังจำคำพูดของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่สนทนาในค่ำคืนนั้นได้ดีเลย บอกว่า... “เห็นว่าครูดอยสนใจงานเขียน ก็อยากแนะนำ พื้นที่แถวเชียงดาว เวียงแหง ตามชายแดน มีเรื่องราวให้เราเขียนไม่มีวันหมดสิ้นหรอก เขียนไปเถิด ไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นบทกวี เรื่องสั้น นวนิยาย ความเรียง บทความ หรือสารคดี ทดลองเขียน เรียนรู้ไป วันหนึ่งเราก็จะค้นหาตัวตนได้ได้เองว่า เราเหมาะเราควรจะเขียนแนวไหน” คำพูดของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ทำให้ผมใจฟู มีพลังในงานเขียนมากขึ้น
ที่สวนทูนอิน ทำให้ผมเจอศิลปินนักเขียนหลายๆ คน ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก และทำให้ผมรู้สึกอิ่มเอมใจ และได้รับพลัง ได้รับสารอะไรบางอย่าง ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่บนโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งมันต่างกับโลกของข้าราชการ โลกของนักธุรกิจ เมื่อพอมาอยู่กับกลุ่มศิลปินทั้งหลาย ทำให้เราสัมผัสได้ว่า หรือแท้จริงแล้ว คนเราไม่ต้องการอะไรมาก มนุษย์ต้องการอิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ นั่นกลายเป็นจุดประกายที่ผมใฝ่ฝัน จำได้ว่า ช่วงนั้น ผมเริ่มมีงานเขียนบทกวี เรื่องสั้น รายงานวรรณกรรม ตามสื่อส่วนกลางถี่ขึ้น และเริ่มเขียนงานลงในคอลัมน์ ‘เสียงเพรียกจากภูเขา’ ในนิตยสารพลเมืองรายสัปดาห์

เป้าหมายและบั้นปลายของชีวิต
จำได้ว่า ช่วงหนึ่ง แสงดาว ศรัทธามั่น ชวนผม ไพฑูรย์ พรหมวิจิตร และ โถ่เรบอ นั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ก่อนไปเจอศิลปินนักเขียนทั่วประเทศ นั่งรถไฟไปเยือน บ่อนอก บ้านกรูด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปร่วมคัดค้านโรงไฟฟ้า และให้กำลังใจให้กับเจริญ วัดอักษร และพี่หน่อย จินตนา แก้วขาว แกนนำชาวบ้านและชาวบ้านที่นั่น ทำให้ผมมองเห็นอะไรบางอย่างชัดมากยิ่งขึ้น
ต่อมา พอกลับมาถึงที่ทำงาน ตอนนั้นผมเป็นครูดอยอยู่ที่เชียงดาว แล้วจู่ๆ บัณรส บัวคลี่ ก็ชวนผมมาทำงานเป็นผู้สื่อข่าวออนไลน์มั้ย พอดีพรรคพวกเขาอยากได้คนมาทำข่าวออนไลน์ลงเว็บไซต์ ตอนแรกผมก็ยัง งงๆ อยู่ผู้สื่อข่าวออนไลน์มันทำอย่างไร เพราะเราอยู่บนดอย จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาชวนคุณเปี๊ยก-สมเกียรติ จันทรสีมา มานั่งคุยกับผมแถวหอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่ ตอนแรกก็ลังเลอยู่ว่าจะลาออกครูดอยดีมั้ย…แต่สุดท้าย เขาก็ชวนผมเข้ากรุงเทพฯ บอกว่าจะมีการประชุมกัน ยังไงลองไปร่วมประชุมกันก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ จากนั้น ผมกับบัณรส บัวคลี่ ก็ขึ้นเครื่องบินเดินทางไปกรุงเทพฯ ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะนั่นเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต และต้องตื่นเต้นเข้าไปอีก เมื่อในวงประชุมเรื่องสื่อออนไลน์กันครั้งแรกนั้น ในวงมี อาจารย์จอน อึ๊งภากรณ์ ลูกชายคนโตของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นั่งประชุมอยู่ด้วย
อาจารย์จอน ตอนนั้นแกยังเป็นสมาชิกวุฒิสภา เล่าให้ฟังว่า “ความคิดเรื่องการทำหนังสือพิมพ์เกิดขึ้นนานแล้ว ถ้าถามว่ามีเหตุการณ์อะไรที่เป็นแรงผลักดันให้สนใจที่จะทำสื่อ เป็นเหตุการณ์ชัดๆคงไม่มี แต่เป็นความรู้สึกจากสถานการณ์ภาพรวมว่าสื่อมวลชนบ้านเราไม่เป็นอิสระ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ บรรยากาศของสื่อมันกลับไปคล้ายยุคเผด็จการทหาร ผมสนใจเรื่องการทำสื่อหนังสือพิมพ์บนอินเตอร์เน็ต คิดๆกับมันอยู่แล้ว จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2546 เดินทางไปประชุมที่ประเทศฟิลิปปินส์แล้วเห็นการทำสื่ออิสระที่มินดาเนา ที่ชื่อมินดานิวส์ www.mindanews.com จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำอย่างจริงจัง” จำได้ว่าตอนที่ประชุมกองบรรณาธิการข่าว ยังไม่ได้มีการตั้งชื่ออะไรกันเลย ถกกันไปถกกันมา จนสุดท้ายกลายมาเป็นชื่อ “ประชาไท” โดยมีคุณเปี๊ยก-สมเกียรติ จันทรสีมา เป็น บรรณาธิการประชาไทคนแรก และประชาไท จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2547
หลังจากกลับมาถึงเชียงดาว ผมเขียนใบลาออกจากครูดอยทันที พอครบหนึ่งเดือนของการยื่นลาออก ผมก็กลายมาเป็นผู้สื่อข่าวออนไลน์ เป็นนักข่าวประชาไทออนไลน์เต็มตัว โดยตอนนั้น เรามีการแบ่งงานกันทำในแต่ละภูมิภาค โดยผมรับผิดชอบข่าวในเขตภาคเหนือ คนเดียวรับผิดชอบทั้งภาคเหนือ มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและท้าทายเป็นอย่างมาก ซึ่งสื่อออนไลน์ในยุคนั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากในเมืองไทย ไปทำข่าวตอนแรกๆ ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเท่าไหร่ แต่เราก็ค่อยๆ ฝึกฝน เรียนรู้ไป ประจวบกับในช่วงปี 2547 เกิดโศกนาฏกรรมตากใบ กรือเซะพอดี ประชาไททำข่าวแบบกัดไม่ปล่อย จนทำให้คนทั่วประเทศหันมาสนใจและรู้จักประชาไทกันมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ผมรับผิดชอบภาคเหนือ ก็จะเน้นลงพื้นที่ทำงานประเด็นเรื่องการเมือง สิ่งแวดล้อม และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ชายขอบ สาละวิน แม่น้ำโขง ปัญหาแคดเมียมที่แม่สอด แม่เมาะ แก่งเสือเต้น คดีจับกุมชาวบ้านปางแดง เหมืองแร่เวียงแหง คดีที่ดินลำพูน เหล่านี้เป็นต้น
ช่วงนั้น ผมนำบทกวีที่ผมเขียนไว้และเคยตีพิมพ์ลงตามสื่อนิตยสารต่างๆ มารวมเล่มเป็นหนังสือทำมือ เล่มแรกของผม ชื่อ “เพลงเพรียกจากพงไพร” โดยมีอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น เป็นบรรณาธิการคัดสรร และสำนักพิมพ์สานใจคนรักป่า จัดพิมพ์ให้
ผมสนใจงานเขียนสารคดีมากขึ้น มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมเดินทางกลับจากการลงพื้นที่ทำข่าวการต่อต้านการระเบิดแก่งแม่น้ำโขงของครูตี๋ (นิวัฒน์ ร้อยแก้ว) กลุ่มรักษ์เชียงของ ขณะที่เรานั่งรถกลับเชียงใหม่ ผมเอ่ยกับหลายคนในรถว่า ปีนี้เขามีการประกวดงานเขียนสารคดี รางวัล “คนค้นฅน” จู่ๆ ไพฑูรย์ พรหมวิจิตร ก็กระตุ้นแนะนำให้ผมเขียนเรื่องราวของ แสงดาว ศรัทธามั่น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานเขียนสารคดีชิ้นแรกของผมที่มีความยาวประมาณ 70 หน้า จำได้ว่าช่วงเวลานั้น ผมเช่าบ้านไม้เก่าในซอยร่ำเปิง และชวนอ้ายแสงดาว มากินนอนขลุกอยู่ด้วยกัน เพื่อทำบทสัมภาษณ์ หากมีข้อมูลตกหล่นก็สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ทันท่วงที ผมเขียนสารคดีเสร็จในวันสุดท้ายของการประกาศหมดเขตรับสมัคร ผมตั้งชื่อว่า “จากเชื้อเจ้าล้านนาสู่ขบถสามัญชน” ได้รับรางวัลชมเชย งานเขียนสารคดี “คนค้นฅน” ครั้งที่ 1 ปี 2547
ในปี 2554 ผมเขียนหนังสือสารคดีชาติพันธุ์ออกมาอีกเล่มหนึ่ง ชื่อ “เด็กชายกับนกเงือก ความงาม ความหวัง เผ่าชนคนเดินทาง” เป็นเรื่องราวของพี่น้องชาติพันธุ์ที่ผมเดินทางไปทำข่าว ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแต่ละชนเผ่า แล้วเอามารวมเล่ม เล่มนี้ผมได้พี่นนท์ สุวิชานนท์ รัตนภิมล เป็นบรรณาธิการให้ เป็นความตั้งใจมากของผม คือตอนนั้น เลือกที่จะตั้งสำนักพิมพ์เอง ในนามสำนักพิมพ์วิถีชน และก็จัดจำหน่ายเอง ก็สนุกตื่นเต้น เหนื่อยแต่ภูมิใจมาก หนังสือเล่มนี้ ได้รับรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2554 ประเภทหนังสือสารคดีชาติพันธุ์วิทยา “หนังสือแนะนำให้อ่าน” เล่มที่ 1 ถ้าใครสนใจอยากอ่านเป็นเล่ม ยังพอมีอยู่นะ ก็ติดต่อสอบถามมาได้ที่ Facebook : ภู เชียงดาว หรือจะเลือกอ่านแบบอีบุ๊คก็เข้าไปที่ลิงค์นี้ได้เลยครับ เด็กชายกับนกเงือก
ช่วงเวลานั้น ผมมีงานสารคดีลงตีพิมพ์เยอะมาก มีหนังสือรวมเล่ม มันเป็นช่วงเวลาที่ผมสนุกกับงานเขียน งานข่าว งานสารคดี ผมเขียนหนังสือลงนิตยสารหญิงไทย,ขวัญเรือน เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เซคชั่นเสาร์สวัสดี มีงานลงตีพิมพ์ในสารแสงอรุณ,วารสารผู้ไถ่ นับเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในห้วงเวลานั้น

ส่วนการทำงานหนังสือจริงๆ ผมเริ่มทำ ตั้งแต่กลับมาบ้านเกิดแล้ว ทำนิตยสารเชียงดาวโพสต์ ทำวารสารท้องถิ่น เช่น วารสารวิถีชนฅนปิงโค้ง ของเทศบาลปิงโค้ง ทำงานเป็นคอลัมนิสต์ให้กับวารสารผู้ไถ่ ซึ่งต่อมา ผมมีโอกาสได้ทำงานเป็นบรรณาธิการฉบับพิเศษ ถือว่าเป็นบรรณาธิการวารสารผู้ไถ่ยุคสุดท้ายที่เป็นหนังสือ ก่อนจะปรับตัวเป็นวารสารออนไลน์ เพราะด้วยปัจจัยด้านงบประมาณ และความจำเป็นบางอย่าง เมื่อยุติบทบาท ผมก็กลับมาทำสวนเล็กๆ ที่บ้านเกิดเหมือนเดิม ทำที่พักในช่วงฤดูหนาว บางครั้งก็ออกเดินทางและเป็นฟรีแลนซ์ เขียนงานให้ประชาไท ซึ่งในช่วงหลัง ผมเริ่มมีความสุขกับงานเขียนหนังสือที่เป็นบทกวี สารคดี มากขึ้น และมีความใฝ่ฝันว่าอยากคัดงานเก่าและเขียนงานใหม่ เพื่อรวมเล่มบทกวีและสารคดีออกมาซักชุดหนึ่งในช่วงท้ายของชีวิต
การอ่านหนังสือ การอ่านงานวรรณกรรม ทำให้คนเราเปลี่ยนได้ การอ่านหนังสือทำให้ชุดความคิดของผมเปลี่ยนไป ผมมองโลก มองสังคมได้เข้าใจมากขึ้น ได้กว้างขึ้น และง่ายขึ้น มองเห็นความเป็นมนุษย์ได้หลากหลายในท่ามกลางความสลับซับซ้อน ผมสัมผัสได้ว่า สิ่งที่ผมได้โดยไม่รู้ตัวคือ การได้เรียนรู้ความจริง การมีจินตนาการความคิดความฝัน ความละเมียดละมุนของถ้อยคำ ความอ่อนโยน ความงาม ความหวัง ซึ่งมันมีอยู่ในหนังสือในงานวรรณกรรมดีๆ มันมีผลต่องานเขียนของผมด้วยเช่นกัน
ผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายหรือคาดหวังอะไรมากมาย มีบ้าน มีสวนเล็กๆ มีที่อยู่อาศัย ที่สำคัญคือไม่มีหนี้สิน และมีครอบครัวที่อบอุ่น มีม่อนภู ลูกชายที่มีความสุขที่สุดในโลก คือผมเพียงอยากสอนเรื่องพื้นฐานการใช้ชีวิตให้เขาสามารถอยู่ร่วมกัน อยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เอาตัวรอดได้ รู้เท่าทันสังคมโลกว่ามันไม่ได้สวยหรู แต่มันมีทั้งดีและร้าย โลกที่เปลี่ยนแปลงไปไวมาก ตอนนี้เขายังเรียนโฮมสคูล แต่ผมไม่ได้ปิดกั้นนะ ว่าโตขึ้นมาหน่อยเขาอาจอยากไปเรียนในระบบก็ได้ แล้วแต่เขา แต่ขอให้เขาสามารถเรียนรู้และดูแลตนเองได้ โดยไม่ถูกกดขี่หรือกดดัน ที่สำคัญคือเป็นลูกของพระเจ้าที่คอยช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า แจกจ่ายความรัก แบ่งปันความสุขให้ผู้คนรอบข้าง ก็เพียงพอแล้ว อย่างที่บอกไปนั่นแหละว่า โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนในยุคที่ใช้เครื่องพิมพ์ดีดแล้ว แต่ตอนนี้มันยุคของเอไอ ยุคที่ต้องการความเร็วมาก ดังนั้น คนรุ่นใหม่มันต้องเรียนรู้ ปรับตัว และจงใช้มัน อย่างรู้เท่าทัน ไม่งั้นเราก็ตกเป็นทาสของมันโดยไม่รู้ตัว
ขอให้ชีวิตเรามีฐานที่มั่นของตนเอง อยู่กับธรรมชาติอยู่กับความเป็นจริง สร้างพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นพื้นที่ชีวิตและจิตวิญญาณ เพราะเราไม่มีทางรู้ และไม่สามารถบอกอนาคตได้เลย ลองดูเหตุการณ์ในแต่ละวันดูสิ ผมเห็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิมแล้ว แดดร้อน ฝนตก แผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม อากาศเป็นพิษ มันไม่สามารถกำหนดได้เลย ทำได้อย่างเดียวคือ ต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ผมยังไม่พูดถึงเรื่องสงครามเลยนะ ว่าที่สุดแล้ว เราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้อยู่รอดปลอดภัย
ความหวังครั้งสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่ผมกับครอบครัวทำกันอยู่ในขณะนี้ คือ การเป็นอาสาสมัครและทำงานที่เรารัก ฝึกลูกชายให้มีจิตอาสาช่วยเหลือแบ่งปันคนอื่น อยากทำให้สังคมดีขึ้น อยากให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ให้ครอบครัวเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นกลไกเล็กๆ ฟันเฟืองเล็กๆ มีกิจกรรมอะไรก็ช่วยเหลือกัน
สัมภาษณ์ ร.ต.อ.ทรงวุฒิ จันธิมา (กระจอกชัย)