ชัชวาล ทองดีเลิศ คือนักพัฒนาคนสำคัญของประเทศไทย มีบทบาทการขับเคลื่อนการพัฒนาในด้าน วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และสิ่งแวดล้อม เขาเติบโตจากสังคมยุคเก่าที่จังหวัดกาญจนบุรี เรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยุค 6 ตุลาคม 2519 ช่วงวิกฤติการเมือง ทำงานเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคมกับมูลนิธิโกมลคีมทอง ลงพื้นที่ทำงานพัฒนาที่ภาคเหนือกับสำนักงานเกษตรภาคเหนือและมูลนิธิฟรีดริช เนามัน เยอรมันตะวันตก (Friedrich Naumann Foundation) มีบทบาทกาพัฒนาเรื่องป่าชุมชน การผลักดันร่างกฎหมาย ป่าชุมชน , มีผลงานด้านการศึกษา ก่อตั้งโรงเรียนสืบสานล้านนา การเสนอร่าง พ.ร.บ.การศึกษาภาคสังคม , ร่วมแก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นควัน PM 2.5 สู่การร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งการทำงานพัฒนาที่ประสบความสำเร็จในช่วงชีวิตของชัชวาล ทองดีเลิศ เกิดจากการต่อยอด วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และสิ่งแวดล้อม
เปิดประตูสู่โลกมหาวิทยาลัยในวันวิกฤติ
ผมเป็นคนจังหวัดกาญจนบุรี มาจากชุมชนชนบท ตำบลหนองขาว อำเภอท่าม่วง เป็นคนไทยผสมมอญ ผสมจีน การศึกษาก็เรียนที่หมู่บ้าน เรียนโรงเรียนวัดวัดอินทรา บรรยากาศดีมาก สมัยก่อนเราอยู่กับญาติพี่น้องอยู่กับชุมชน บ้านอยู่ใกล้วัดไปร่วมกิจกรรมของวัด โรงเรียนก็อยู่ในวัด ชีวิตผูกพันกับบ้าน วัด ชุมชน ต้องถือว่า เป็นชุมชนที่ดีมากๆ ตอนนี้ก็เป็นชุมชนวัฒนธรรม พวกเขายังทำตาลโตนด ทำผ้าขาวม้าร้อยสี แล้วก็ยังรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่ดีมากๆ ตอนนี้เป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เริ่มเรียนมัธยมก็เริ่มออกห่างบ้านเรียนอยู่ที่โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์ ห่างจากบ้านสัก 10 กว่ากิโลเมตร เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้า มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนประจำจังหวัด โรงเรียนวิสุทธรังสี ผมเป็นคนเรียนดี สอบเป็นที่หนึ่งของจังหวัด พ่อแม่มีความคาดหวังมาก อยากให้เป็นเจ้าคนนายคน พ่อแม่ก็บอกอยู่เสมอว่า ตั้งใจเรียนนะลูก พ่อแม่ลำบาก ลูกไปเรียนนะลูก เราก็ตั้งใจเรียน เรียนนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2519 ช่วง เหตุการณ์ 6 ตุลา
ต้องยอมรับว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นส่วนสำคัญของชีวิต คือชีวิตในช่วงเรียน เป็นช่วงที่เราซึมซับวิถีชุมชน ซึมซับวิถีชาวบ้าน เป็นความอบอุ่นแบบหนึ่ง เมื่อเรียนที่ธรรมศาสตร์ก็จะเป็นอีกแบบ บรรยากาศสนามหลวง มีร้านหนังสือเต็มไปหมด ธรรมศาสตร์เขาจะมีสโลแกน “ฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” หรือว่าบางทีเราก็มาเจอกับการรับน้องของรุ่นพี่ เป็นการรับน้องที่มีความหมาย หรือเราได้ยินบทกลอนของอาจารย์ รศ.วิทยากร เชียงกูล “ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่งฉันจึง มาหา ความหมาย ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว” คืออะไร? เราเป็นเด็กบ้านนอกแล้วมีแรงขับเคลื่อนอย่างแรงจากครอบครัวในการพุ่งทะยานทางการศึกษา แต่มาเจอภาพแบบนี้ บางวันก็มีชาวนาประท้วงเรื่องค่าเช่านา กรรมกรประท้วงเรื่องค่าแรง คือ บรรยากาศของธรรมศาสตร์ ทำให้เราตั้งคำถาม มีมุมที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราวาดหวัง ตรงข้ามกับสิ่งที่เราเคยคิด เราเรียนกฎหมาย เรียนรู้เรื่องโครงสร้างสังคม ความเป็นธรรม ปัญหาสังคม ความเหลื่อมล้ำ
เราผันตัวเองไปตั้งชุมนุมทำกิจกรรม ชื่อว่า “สังคมพัฒนา” เป็นมิติทางการศึกษา เราสนใจการศึกษาตั้งแต่สมัยเรียน เสาร์อาทิตย์ เราก็มีกิจกรรมพาเพื่อนนักศึกษาไปสอนเด็กในสลัม เราเห็นวิถีชีวิตความยากลำบากในชุมชนสลัม พอปิดเทอมใหญ่ เราก็จะไปสร้างห้องสมุดกัน แล้วก็ไปสอนเด็ก เป็นครูอาสาไปสอนเด็กในหมู่บ้าน ชีวิตตลอดช่วงเรียนหนังสือ ไม่ค่อยได้เรียนหรอก ทำกิจกรรม เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เพื่อนบางส่วนเสียชีวิต เพื่อนบางส่วนเข้าป่า เราไม่ได้เข้าป่า เราเป็นเด็กใสๆ จากชนบท แล้วก็ทำกิจกรรม เมื่อเรียนจบเราก็เริ่มตั้งคำถามว่า เอ๊ะ! จบแล้วจะไปทำอะไร เราเรียนกฎหมาย เป็นทนาย เป็นผู้พิพากษา ส่วนทางบ้านอยากให้เป็นนายอำเภอ เป็นตำรวจ ขณะที่พ่อก็ด่าตำรวจให้ฟังทุกวัน พอดีช่วงนั้น เป็นช่วงที่โครงการอาสาสมัครเพื่อสังคมเปิด โครงการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมสมัครเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคมซึ่งเราก็มีพื้นฐานด้านสังคมอยู่แล้ว
เปิดโลกการเรียนรู้เรื่อง “การพัฒนา“
ตอนเรียนวิชาสุดท้าย เราเรียนวิชาสังคมวิทยาชนบทกับอาจารย์บัณฑร อ่อนดำ ลงพื้นที่กับมูลนิธีโกมลคีมทอง จึงรู้จักมูลนิธิโกมลคีมทอง เมื่อโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคมเปิดจึงไปทำงานอาสาสมัครที่มูลนิธีโกมลคีมทอง ทำโครงการพัฒนาประสานงานกับชนบท เป็นการเรียนรู้อีกแบบ แตกต่างจากการเรียนมหาลัย เพราะมหาลัยมันจะเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคม เรื่องอำนาจรัฐแต่มูลนิธิโกมลคีมทอง เขาให้ไปประสานกับผู้นำในชุมชนที่กำลังขับเคลื่อนงานพัฒนาอยู่ ส่วนใหญ่ผู้นำเป็นพระ ก็เลยไปทำงานกับพระ ทำงานกับ พระครูพิพิธประชานาถ (นาน สุทธสีโล) จังหวัดสุรินทร์ ,หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ชัยภูมิ รวมถึง วิบูลย์ เข็มเฉลิม ที่ทำเรื่องวนเกษตร ก็ได้เรียนรู้อีกแบบ คือ พระที่เป็นผู้นำแล้วก็เป็นผู้ที่มีความตั้งใจในการทำงานกับชาวบ้าน ตื่นตี 3 ทำงานถึง 3 ทุ่ม ทำงานทั้งวัน ขณะที่นักกิจกรรมนอนกดึก ตื่นสาย แต่งตัวเซอร์ ทำงานกับชาวบ้านนิดๆ หน่อยๆ ก็เหนื่อยแล้ว มันเกิดการเปรียบเทียบว่า พระกับนักกิจกรรมทำงานกันแตกต่างมาก เป็นการเปิดโลก
หลังจากนั้น โครงการอาสาสมัครขาดเจ้าหน้าที่ เขาก็ใช้อาสาสมัครที่เรียนจบมาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายฝึกอบรมและติดตาม เราก็ได้ร่วมอบรมอาสาสมัครหลายรุ่น หลังจากทำงานกับมูลนิธิโกมลได้หนึ่งปี ใจเราอยากทำงานลงพื้นที่ในหมู่บ้านมากกว่า เพราะงานเดิมเราต้องอยู่ในกรุงเทพฯ จัดฝึกอบรม ส่งอาสาสมัครไปทำงานและเราก็ไปตาม รู้สึกว่าไม่ใช่ ตอนนั้น เราคุยกับอาจารย์จอร์น อึ้งภากร เราก็ถาม อาจารย์มีโครงการพัฒนาชนบทที่ไหนบ้าง ผมอยากทำงานในหมู่บ้านมากกว่าอยู่กรุงเทพ พอดีมีโครงการพัฒนาชนบทสมบูรณ์แบบที่เชียงใหม่ เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานเกษตรภาคเหนือกับมูลนิธิฟรีดริช เนามัน เยอรมันตะวันตก (Friedrich Naumann Foundation) ทันทีที่อาจารย์จอร์นบอก มีงานอยู่ที่เชียงใหม่ วันที่ 25 สิงหาคม 2525 เราเดินทางมาเชียงใหม่แล้วก็อยู่เชียงใหม่ตั้งแต่นั้น ต้องยอมรับว่า บรรยากาศแตกต่าง ถ้าเป็นของโกมลคีมทอง เขาปล่อยให้เราทำงานอย่างเต็มที่ คุณอยากทำอะไรเต็มที่ แต่พอมาทำงานกับสำนักงานเกษตรภาคเหนือบวกกับฟรีดริช เนามัน มันเป็นแบบกึ่งราชการกึ่งถึงการพัฒนา เราก็ได้รับบทเรียนหลายเรื่อง
เรามีข้อขัดแย้งหลายเรื่องกับชาวบ้าน สำนักเกษตรภาคเหนือกับฟรีเท่าฟรีดริช เนามัน เขาใช้กลยุทธ์ คือ 10 ครอบครัว เลือกผู้นำ 1 คน จัดอบรมทุกเดือน อบรมเรื่องการใช้ปุ๋ยเคมี การใช้ยาฆ่าแมลง พืชพันธุ์ใหม่ๆ ส่งเสริมเกษตรแผนใหม่ ชาวบ้านมีหมูดำเราก็เอาหมูขาวไปให้ ชาวบ้านมีไก่พื้นเมืองเราก็เอาไก่สามสายพันธุ์ไปให้ ชาวบ้านมีข้าวพันธุ์พื้นเมือง เราก็เอาข้าวพันธุ์ใหม่ไปให้ มีถั่วพันธุ์พื้นเมืองก็เอาถั่วพันธุ์ใหม่ไปให้ ส่วนชาวบ้านก็มีความเชื่อเรื่องผีอย่างเข้มข้น วันนั้น นัดประชุมแล้วชาวบ้านไม่มา เราตามไปดูปรากฏว่าเขากำลังเลี้ยงผี เราก็โวยด่ารชาวบ้าน งมงายไร้สาระทำไมมาเลี้ยงผี ทำไมไม่สนใจงานพัฒนา มิน่าชีวิตถึงลำบากยากจน หลังจากนั้น ผมเข้าหมู่บ้านไม่ได้อีก เรายังมาคิดย้อนหลัง เราไม่โดนกระทืบก็ดีแล้ว แต่เราเริ่มรู้เลยว่า เราไปแตะเรื่องความเชื่อของชาวบ้านทั้งที่เรายังไม่ข้าใจดีพอ
เหตุการณ์ที่ผู้นำชาวบ้านคนหนึ่งตายอยู่ในอ้อมแขนเรา เขามีโบโดพ่นยา ขั้วหลุด สารเคมีอาบผิว เส้นเลือดเส้นเอ็นมันขึ้นมาเต็มเลย ผู้นำชาวบ้านตายในอ้อมแขนเราเพราะสารเคมี แต่เราก็ทำเต็มที่ เพราะเราเชื่อว่า ชาวบ้านต้องได้รับอะไรใหม่ๆ ชาวบ้านควรมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับความรู้ใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ คุณภาพชีวิตถึงจะดี ทำงานครบ 3 ปี มีการประเมินผล อาจารย์จากมหาลัยเชียงใหม่ร่วมประเมินผล ยังจำคำชาวบ้านได้ เราก็ถามว่า เป็นยังไงบ้างกับการทำงานในช่วง 3 – 4 ปี ที่ผ่านมา ชาวบ้านก็บอกว่าตอนนี้แย่เพราะ “เป็นหนี้” เริ่มเป็นหนี้ตั้งแต่คุณชัชวาลเข้ามาส่งเสริม เราก็เข่าอ่อนเลย เข่าอ่อนเพราะความหวังดีกับการทุ่มเทของเราอย่างเต็มที่ มันทำให้ชาวบ้านมีปัญหา อันนี้เป็นจุดสำคัญมาก ชาวบ้านเสียชีวิตจากสารเคมี ทะเลาะกับชาวบ้านเรื่องผี หรือประเมินแล้วมันชาวบ้านเป็นหนี้ ทำให้เราต้องคิดใหม่ นักพัฒนาเริ่มมีเวทีพูดคุยเรื่องนี้มากขึ้น เราได้ข้อสรุปสำคัญว่า ถ้าเราจะทำงานพัฒนาโดยมองชาวบ้านแบบ “โง่ จน เจ็บ” แล้วพยายามเข้าไปอบรมชาวบ้าน สั่งสอนชาวบ้าน มันไม่ยั่งยืน มันอาจจะดีแต่มันไม่เหมาะกับชาวบ้าน เพราะฉะนั้น การพัฒนามันต้องตั้งอยู่บนฐานของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชน
เปลี่ยนความผิดพลาดเป็นบทเรียน
หลังจากนั้นก็เริ่มปรับกระบวนทัศน์กันใหม่ ขอโทษชาวบ้าน ทำงานวิจัยชื่อว่า โครงการศึกษาวัฒนธรรมภาคเหนือเพื่อการพัฒนา ถือเป็นช่วงของการเรียนรู้ที่สำคัญมากๆ เรื่องแรกที่ทำการศึกษาคือเรื่อง “ผี” ศึกษาเรื่องผีทุกชนิด ศึกษาเรื่องประเพณี 12 เดือน ศึกษาเรื่องภูมิปัญญา เรามีเอกสารเยอะมาก ถือว่าเป็นการเรียนรู้ครั้งใหญ่ เพราะมีโลกทัศน์อีกแบบ มันมีความรู้ใหม่อีกแบบที่สำคัญมาก เราเริ่มเชื่อมโยงกับเรื่องราวสมัยเด็ก เรื่องราววัยเด็กมันเริ่มกลับมา มันเป็นเรื่องราวอันเดียวกัน มันเป็นรากของสังคมของชุมชน มันเป็นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมเคยมีอยู่ เราเริ่มรู้สึกว่าเป็นการต่อรากใหม่
เราเริ่มพบเรื่องป่าชุมชนซึ่งเดิมแล้วเราไม่เชื่อว่าชาวบ้านจะรักษาป่า เราเชื่อว่าชาวบ้านเป็นผู้ทำลายป่ามากกว่า แต่พอศึกษา ชาวบ้านเขามีป่า มีความเชื่อเรื่องป่าขุนน้ำ ความเชื่อเรื่องป่าดง เขาไปเลี้ยงผีกัน มีความเชื่อและป่าภูเหลือง เจ้าพ่อภูเขียว เยอะแยะไปหมด เราเริ่มเข้าใจว่า ชาวบ้านเขาก็มีมิตินี้อยู่นะ ไม่ได้ทำลายอย่างเดียวนะ เขารักษาป่า เขาใช้ประโยชน์จากป่า เราก็เริ่มศึกษาชุมชนแล้วก็มาเชื่อมโยงกับนักวิชาการ อาจารย์ เสน่ห์ จามริก อาจารย์ชยันต์ ไชนพร อาจารย์ฉลาดชาย รมิตานนท์ ,อานันท์ กาญจนพันธุ์ ใช้นักวิชาการมาเชื่อม จึงเป็นงานวิจัยและป่าชุมชน ซึ่งทำให้เกิดความลึกซึ้งมากขึ้น ต่อมาเราสู้เรื่องเกษตรพันธสัญญา สู้กับ ซีพี คอนแท็กฟอร์มมิ่ง ชาวบ้านเป็นหนี้สิน ตอนที่เราพิพากษ์วิจารณ์ พูดคุยกับชาวบ้านที่ประสบปัญหา ก็มีข้อเสนอทางเลือกใหม่คือ “เกษตรกรรมยั่งยืน” หรือ ออร์แกนิคฟาร์ม มีชาวบ้านทำเรื่องวนเกษตร เราจึงพัฒนาต่อยอดจากฐานทุนเดิม ทำงานต่อเนื่องมาถึง ตลาดสีเขียว ข่วงเกษตรอินทรีย์
พ.ศ.2535 เอดส์เข้ามาในประเทศไทย ทุกคนเป็นเอดส์ต้องตาย แพทย์แผนใหม่ก็รักษาไม่ได้ หมอพื้นบ้านช่วยกันรักษาโรคเอดส์แต่ก็โดนจับ เป็นเรื่องใหญ่ ลงข่าวใหญ่โต พวกเราจึงรณรงค์ รวบรวมเครือข่ายหมอพื้นบ้าน มีข้อเสนอ ในที่สุดก็เสนอเรื่องการดูแลรักษาแบบพื้นบ้าน การรักษาสุขภาพ สุขภาพชุมชน โดยมีหมอพื้นบ้านมาช่วยดูแลกายใจและจิตวิญญาณ ซึ่งมันก็ทำให้สถานการณ์เอดส์มันดีขึ้น เพราะแต่เดิมคนเป็นเอดส์ตายอย่างเดียว เราจะเห็นว่า อะไรก็ตามที่ต่อยอดจากภูมิปัญญามันยาวเลยนะ ป่าชุมชนพัฒนาเป็นเครือข่ายป่าชุมชน มีการเสนอ พ.ร.บ. ป่าชุมชน เสนอรายชื่อ 50,000 รายชื่อ เอางานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาพัฒนาเป็นกฎหมาย เสนอกฎหมายโดยภาคประชาชน
สร้างระบบบริหารจัดการวัฒนธรรม
เชียงใหม่ครบรอบ 700 ปี พวกเราคุยกันว่า เชียงใหม่ครบรอบ 700 ปี มันเกิดกระแสบางอย่างที่น่าสนใจ มันเป็นเวลาวิเศษ คือ คนสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ คนสนใจเรื่องวัฒนธรรม คนสนใจเรื่องรากเหง้ามากขึ้น นักวิชาการก็ลุกขึ้นมาทำหนังสือประวัติศาสตร์ ทีนี้ก็คุยกันว่า พวกเราจะทำอะไรเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 700 ปีเชียงใหม่ ในสุดก็ตกลงว่า จะทำโครงการอนุรักษ์สืบสานศิลปะวัฒนธรรมล้านนา เพื่อเฉลิมพระเกียรติปีเชียงใหม่ รูปธรรมก็คือจะจัดงานเทศกาลชื่อว่า “งานสืบสวนล้านนา” โดยเอาภูมิปัญญามานำเสนอ ก็คิดกันออกมาว่า นำเสนอในรูปแบบไหนให้ง่ายและคนเข้าถึง ไม่ใช่เรื่องโบราณ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ก็ตกลงว่า เป็นเรื่องปัจจัยสี่ มีอาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย จัด 4 วัน แล้วก็ไฮไลท์วันละเรื่องวันแรก ก็ผักพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง วันที่ 2 ก็เป็นหมอพื้นบ้าน การดูแลรักษาแบบพื้นบ้าน วันที่ 3 เครื่องนุ่งห่มล้านนา วันสุดท้ายก็เรื่องที่อยู่อาศัย สล่า (ช่าง) ล้านนา เริ่มงานปี 2540 ได้รับความสนใจมาก เมื่อทำกิจกรรมหลายปี ก็มีเด็กเยาวชนเรียกร้องให้เปิดโรงเรียนสอน จึงมีการก่อตั้งโรงเรียน “สืบสานล้านนา” โดยมีครูภูมิปัญญาที่มาร่วมงานเป็นอาสาสมัคร จำนวน 30 คน
ตอนนี้เกือบ 30 ปี มีการพัฒนาหลักสูตรให้ชัดขึ้น เป็นหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้ พึ่งตนเอง ออกมาทำเป็นอาชีพได้ ต่อมาก็คือสอบได้เป็นครูภูมิปัญญารุ่นใหม่ ตอนนี้เรามีครูเป็นร้อยคน ครูรุ่นเก่า ก็บอกเดินทางไปสอนไม่ค่อยไหวแล้ว เดินทางลำบาก เราก็เดินทางไปที่บ้านเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ ตอนนี้น่าจะมีศูนย์การเรียนไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง อันนี้เป็นอะไรที่งอกงามเป็นความต่อเนื่อง อะไรที่มันมาจากฐานแล้วต่อยอดแล้วมันถูกพัฒนาการต่อเนื่อง เราเริ่มพูดถึงเรื่องเน็ตเวิร์คเพราะกลุ่มครูก็มารวมตัวกันเป็นเครือข่ายครูภูมิปัญญา แล้วกลุ่มคนที่สนใจเรื่องภาษาล้านนาก็รวมตัวกันเป็น ชมรมใบลาน ชมรมปกตืนล้านนา กลุ่มที่สนใจเรื่องดนตรีก็มารวมกันเป็นกลุ่มดนตรี กลุ่มที่สนใจหมอพื้นบ้าน กลุ่มที่สนใจเรื่องงานช่างฝีมือการ รวมตัวเป็นชมรมสล่าล้านนา
เชียงใหม่มีผู้รู้เยอะมาก ที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วผู้รู้ที่เราเรียกว่าครูภูมิปัญญาเนี่ยเขามีอยู่ก่อนแล้วแต่เขาถูกกดทับไว้เหมือนกับเอาก้อนหินทับยาน ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรนะ ไม่รู้จะสมมุติว่าไงแต่รากมันยังไม่ตาย ที่เราทำหน้าที่ในการเปิดก้อนหินออกแล้วให้ยามันโดนแดด โดนลมโดนฝน แล้วขณะที่รากมันยังแข็งแรงเพราะเอาหินออกปุ๊บเจอลม เจอฝนเจออาการเจอโรมงอกงามขึ้นมาพวกกับกระบวนการจัดการมีโรงเรียนสืบสาน ที่ทำให้เกิดเขาเรียกว่าเกิดกระบวนการจัดการทางด้านวัฒนธรรม จัดการเรียนการสอน มีหน่วยจัดการเรียนการสอนที่ต่อเนื่อง อย่างน้อยเกือบ 30 ปีแล้วเนี่ย ครูรุ่นเก่าสอน ครูรุ่นใหม่กลับมาสอนอยู่
ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ ความต่อเนื่อง มีหน่วยจัดการ มีหน่วยดูแลการเรียนการสอน พ่อแม่ผู้ปกครองสนับสนุน เราสังเกตเลยว่า การเรียนการสอนแต่ละครั้งมีพ่อแม่ผู้ปกครองมานั่งรอเต็ม เหมือนกับเราเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องนี้ ทำให้โอกาสในการเข้าถึงพื้นที่มีมากขึ้น มีพัฒนาการ มีการขยายตัว มีการสรุปกระบวนท่า มีคำที่น่าสนใจคือ ไม่หลงของเก่า ไม่เมาของใหม่ อันนี้คำของหลวงปู่ พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) ท่านให้ใช้พื้นที่ตั้งโรงเรียนสืบสาน ท่านฝากไว้ว่า เราต้องใช้แนวทาง ไม่หลงของเก่า ไม่เมาของใหม่คือเรียนรู้ของเดิมก็จริง แต่อย่าไปหลง (ลุ่มหลง) วัฒนาธรรมแหมือนสายน้ำ น้ำเก่าไหลไป น้ำใหม่ไม่ไหลมา แม่น้ำก็ตาย แห้ง ขณะน้ำเก่าอยู่ที่เดิม น้ำใหม่อยู่ที่เดิม ก็เป็นน้ำเน่า ถ้าจะให้เกิดการสืบสวนต้องเกิดความต่อเนื่อง สืบเนื่องกันเหมือนแม่น้ำที่ยังประโยชน์ให้กับมนุษย์
เรามีกระบวนการตามจารีตเดิม คืองานไหว้ครูเป็นสิ่งสำคัญมากในสายสืบสาน ครูคือ จิตวิญญาณของครูตั้งแต่ครูคนแรกครูคนสุดท้ายครู มันเป็นสายธารความรู้ที่เราจะต้องเคารพรักษาและสืบทอด เราพยายามเติมให้ตลอดเราไม่อยากปรับออกไปเพราะมันสำคัญมาก เข้าไปข้างในใจ มันไม่ได้อยู่แค่หัว มีบางคนตั้งคำถามว่า โรงเรียนสืบสารทำอย่างไหรมีคนมาสนใจเยอะมาก ช่วงที่ผ่านมาพวกเราสนับสนุนเครือข่ายเยาวชนเยอะมาก มีการสรุปบทเรียน สรุปมา 4 ขั้นก็คือ หัน (มองเห็น) เฮียน (เรียน) หุม (ชอบ) ฮัก (รัก) ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้เห็น สัมผัส รู้เรื่อง เด็กหลายคนไม่มีโอกาสได้สัมผัส ไม่รู้เลยว่าภูมิปัญญาอยู่รอบๆ ตนเอง ไม่มีใครเปิดโอกาสให้เขาเห็น ในที่สุดจะเจอสิ่งที่รัก ที่ชอบ รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร ให้โอกาสดูไปเรื่อยๆ บางคนจะชอบดนตรี บางคนจะชอบงานฝีมือ บางคนชอบงานอาหาร บางคนจะชอบงานสมุนไพร บางคนจะชอบงานช่าง เรียนจบแล้วก็จะเป็นครูผู้สืบทอด
เรามีหลายโครงการ อย่างเช่น โครงการหน่อคำลำแก้ว เราพยายามให้คุณค่าและความหมายกับเขา แล้วก็สนับสนุนดูแลเขาอย่างเต็มที่ ให้เขาได้ซึมซับได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ในสิ่งที่เขาอยาก อยากเรียนรู้อะไร พวกเนี่ยเราก็อันนี้คือกระบวนการที่เราพยายามสนับสนุนที่สำคัญ เป็นกระบวนการเรียนรู้นี้เป็นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ ต้องลงมือ ไม่ใช่เรื่องทฤษฎี ตอนนี้ครูสืบสานน่าจะมีเป็นร้อยคน แต่ถามว่าที่ที่เด่น หลาคนได้รับรางวัลและเป็นที่ยอมรับจากสังคม เช่น พ่อครูมาลา คำจันทร์ ,พ่อปู่ดิเรก สิทธิการ ,แม่บัวซอน ถนอมบุญ
การพัฒนาที่ต่อยอดจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
การพัฒนาเชี่อมโยงจากตรงนี้ เมื่อเราทำโรงเรียนสืบสาน มันก็ไปเชื่อมโยงกับสมาคมการศึกษาทางเลือกไทย โอมสคูล ตอนนี้เป็นสมาคมการศึกษาทางเลือกไทย ตอนนี้ผมเป็นนายกสภาการศึกษาทางเลือกไทย เมื่อก่อนเป็นเลขาธิการ สภาการศึกษาทางเลือกไทยก็สนับสนุนให้พ่อแม่จัดการการศึกษาให้ลูก เเก้โจทย์เรื่อง วิกฤตการศึกษาไทย ทุกคนรู้สึกว่า การเรียนในห้องต้องจำทำอะไรไม่เป็นเนี่ย มันไม่ตอบโจทย์มันไม่สามารถพัฒนาคุณภาพเด็กเยาวชนของลูก ก็เลยสร้างกระบวนการจัดการเรียนรู้กันใหม่โดย ตอนนี้เรากำลังผลักดันร่างกฎหมายใหม่
กฎหมายจะต้อง 1.มีความหลากหลาย ไม่ใช่การศึกษาแบบเสื้อโหลแบบเดียว หลักสูตรเดียวทั่วประเทศ เราไม่เห็นด้วยเพราะว่ามันไม่สามารถสร้างคุณภาพเด็กได้ 2.นอกจากการศึกษาที่หลากหลายแล้ว ทุกกลุ่มในสังคมต้องมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เราเรียกว่าเป็นการจัดการศึกษาโดยภาคสังคมซึ่งสำคัญมาก ถ้าเราโยนให้รัฐ โยนให้ครู แล้วเราไปคาดหวังให้ครูทำให้ลูกเราดีทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง 3.สามารถเรียนรู้ได้จากทุกที่ เพราะทุกคนมีความรู้ ทุกคนสามารเปิดโลกการเรียนรู้ เปิดระบบนิเวศน์การเรียนรู้ใหม่ที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงการการศึกษาที่มีศักยภาพ ตอบโจทย์ชีวิต ตอบโจทย์ชุมชน และสังคม นี่คือสิ่งที่เราก็กำลังพยายามผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษาภาคสังคม อีกเรื่องคืออากาศสะอาด วิกฤต PM 2.5 เราเข้ามาร่วมขบวนการของสภาลมหายใจเพราะอยู่ไม่สุข เราผลักดัน พ.ร.บ. อากาศสะอาด กฎหมายน่าจะออกมาใช้บังคับ ต้องถือว่ารวดเร็วมาก การทำงานอาศัยข้อมูลของสภาลมหายใจ ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่ในการแก้ปัญหา PM 2.5 ควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นควันในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วน “โหล่งฮิมคาว” เป็นชุมชนที่เราอยากเห็น เป็นชุมชนที่มีระบบนิเวศน์ที่ดี มีพื้นที่สีเขียว ตอบโจทย์คุณภาพชีวิต เราอยากเห็นการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สามารถอยู่รอดได้ในชุมชน คนรุ่นใหม่อยู่ได้ในชุมชนโดยไม่ต้องเดินทางไปทำงานที่อื่น เป็นพื้นที่การเรียนรู้งานหัตถกรรม เป็นพื้นที่ความสุข คนอยู่มีความสุข คนมาก็มีความสุข ดั้งเดิมแล้วโหล่งฮิมคาวเป็น ออร์แกนิค มันเติบโตตามเหตุปัจจัย ทุกคนที่อาศัยอยากมาใช้ชีวิตอย่างสงบที่ริมน้ำแม่คาว เมื่อมีกิจการร้านมีนา คนก็เริ่มเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยือน นั่งคุยกัน ซึ่งปรากฏว่าทุกคน มีของดีมีสินค้าแต่ต่องเดินทางไปขายที่เมืองทองธานี ไบเทคบางนา ถนนคนเดิน แล้วก็บ่นว่าที่นี่เป็นที่เก็บของ เป็นที่นอน แต่เมื่อเทรนด์การท่องเที่ยวมันเปลี่ยน สินที่มีคุณภาพอยู่ตรงไหนคนเข้าไปชม พวกเรากลับบ้าน เอาสินค้าของเราออกมาแสดง เปิดบ้านเป็นร้าน จัดมหกรรม บรรยากาศโดยรวมก็ดีขึ้น คนมาเยี่ยมชนเยอะขึ้น เด็กรุ่นใหม่เรียกว่า slow life market หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “กาดตอนยอน“ เดินช้าๆ ซื้อขายช้าๆ อู้จากันม่วนๆ (พูดจากันอย่างสนุกมีความความสุข) คือ เดินทางมามีความสุข
วิถีแห่งการพัฒนาตน สู่การพัฒนาสังคม
สิ่งที่ทำให้เราพัฒนาตนเอง สิ่งแรกคือ ครอบครัว เราได้แบบอย่างจากพ่อ พี่จะเรียกว่าพ่อว่า “นักบริเกิน” พ่อเป็นคนอัทธยาศัยดีมากๆ เป็นที่ชื่นชมของคนในหมู่บ้าน มีจิตในช่วยเหลือคนอื่น ถ้าเขาขอให้ทำ 5 พ่อจะทำ 10 ทำมากกว่าที่เขาขอ ไม่รู้นิสัยแบบนี้ซึมเข้ามาอยู่ในตัวเราหรือเปล่า เพราะถ้ามีอะไรที่เราช่วยใครได้ เราช่วย ช่วยด้วยความรู้สึกเต็มใจ คนที่เป็นแรงบันดาลใจอีกคน คือ แม่ แม่เป็นคนที่ดีมากๆ คำสอนของแม่ คือ กระบวนการหล่อหลอม ทำให้เราทำสิ่งดีๆ สอนวันละนิด ละหน่อย เราก็ซึมซับ ต่อมาเป็นเรื่องของชุมชน เวลามีประเพณี สารทไทย เขาก็จะทำขนม แล้วก็จะเอาไปแจกญาติ เราก็จะเอาไปให้ลุง เป็นสายสัมพันธ์ที่ดีมากๆ ชุมชนเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว มีความเกี่ยวพันเรื่อง ญาติตระกูลทั้งสายเลือดและเกี่ยวดอง มีมิติความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดความอบอุ่น เกิดความมั่นคง ตอนนี้กลับไปเราก็ยังรู้สึกมีความผูกพัน
การไปเรียนที่ธรรมศาสตร์ เรียนทฤษฎีทางด้านสังคม การพัฒนาสังคม ความเป็นธรรม ปัญหาสังคมหรือเราจะสร้างสังคมที่เท่าเทียมเป็นธรรม ซึ่งในช่วงของการเรียนธรรมศาสตร์เราก็ตั้งคำถามกับทุกเรื่อง ในที่สุดเราก็เริ่มเข้าใจว่า การที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นมา มันไม่ใช่มีแค่ตัวเราคนเดียว มันมีสังคมด้วย ขณะที่เราพัฒนาตัวเอง เราก็ต้องพัฒนาสังคมหรือดูแลสังคมเพื่อสังคมที่ดีก็ทำให้เราดี เราอยู่ธรรมศาสตร์ก็ถูกด่าเป็นประจำ พวกคอมมิวนิสต์ หัวรุนแรง พวกญวณ พวกไม่มีศาสนา คือมันโดนด่าไปหมด แต่มันเป็นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ เราเรียนทฤษฎี เราเห็นเด็กในสลัม เห็นบ้านของเขา ซึ่งมันแย่จริงๆ หรือเราไปสอนเด็กในชนบท เราว่าเราแย่แล้ว เขายังแย่กว่าเราอีก สมัยก่อนเราสนใจเรื่องมาร์ค เรื่องเหมา แต่เวลาเจอพระ พระเจ๋งกว่านักกิจกรรม พระมีวินัย
ตอนที่เรารู้สึกว่าความคาดหวังของพ่อแม่กับสิ่งที่เรากำลังจะเดินไปมันไม่ตรง พ่อแม่อยากให้เราเป็นเจ้าคนนายคน เป็นนายอำเภอ เป็นผู้พิพากษา นายร้อยตำรวจ แกก็รู้สึกว่าตรงนั้น มั่นคง บางทีแกร้องไห้ ตอนที่พี่ไปทำงานอยู่ทุ่งหัวช้าง ลำพูน ลำบากมาก ไม่มีไฟฟ้า เวลาประชุมดีก็ต้องจุดตะเกียงเจ้าพายุ สำนักงานก็ต้องจุดตะเกียง แม่ไปเยี่ยมแม่ร้องไห้ ลูกมาลำบากอะไรขนาดนี้ บอกกับแม่ว่า เรารักแบบนี้ เรามีความสุขแบบนี้ อยากจะทำตรงนี้แต่รับรองเลยว่าจะเป็นคนดี ไม่สำมะเลเทเมา ไม่เป็นคนเลวร้ายของสังคมแน่นอน เราเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เราดูจากความสุขของตัวเรา เราทำงานแล้วเราได้เรียนรู้ เรามีความสุข แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งบทบาทของลูก ทันทีที่รับเงินเดือนหรือได้ค่าตอบแทน เราจะส่งให้ที่บ้านทุกเดือน กระทั่งพ่อแม่เสียชีวิต พ่อแม่เริ่มยอมรับเข้าใจ แม้จะตอบไม่ได้ว่า ลูกทำงานอะไร
อีกช่วงที่สำคัญมาก คือ ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงสังคมที่เราได้รับมาจากต่างประเทศ หรือว่าจากภายนอก เริ่มถูกปรับ เราไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด แต่เรารู้ว่าสังคมต้องการการเปลี่ยนแปลง สังคมเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว แต่มันต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีกว่า ที่มันจะมีความเท่าเทียม เป็นธรรม สันติ เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้จากต้นทุนเดิมของเราคืออะไรที่มันมีคุณค่า มีความหมายแล้วก็ตอบโจทย์กับชีวิตของประชาชนและสังคมคืออะไร แล้วกระบวนการที่ต่อยอดการพัฒนาที่มันต่อยอดสร้างสรรค์จากฐานเดิม มันน่าจะมีความยั่งยืน มีความเข้มแข็งกว่า เราจะสร้างความงอกงามจากแผ่นดินมากกว่า กระทั่งเราเริ่มชัดมีประสบการณ์ชัดเจนแล้วเราก็ไปผลักดันกฎหมาย เสนอนโยบาย ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงจากข้างล่าง ไม่ใช่การเปลี่ยนจากข้างบน