สัมผัส ‘คำ พอวา’ เงาร่างของ ‘สุวิชานนท์ รัตนภิมล’
‘คำ พอวา’ เป็นนามปากกาของ ‘สุวิชานนท์ รัตนภิมล’ กวี นักเขียน จากหมู่บ้านเล็กๆ บริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จ.พัทลุง แต่มาต้องมนต์เสน่ห์ของเสียงภูเขาในพื้นที่ภาคเหนือ มาใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ร่วมกับพี่น้องชาติพันธุ์มายาวนานหลายสิบปี ก่อนตัดสินใจลงหลักปักฐานทำสวน ปลูกบ้านอยู่ในหุบเขาครีบปลาวาฬ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่นั่นคือผืนดินอันสงบ เงียบง่ายงาม เป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา เขียนบทกวีได้อย่างลื่นไหล ทุกวันๆ บทกวีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจิตวิญญาณของเขาไปแล้ว เขาบอกว่า ไม่ว่าสังคมจะปั่นป่วนยุ่งเหยิงเพียงใด บทกวีก็มีชีวิตเกื้อกูลต่อเติมทุกจิตใจที่ให้โอกาสบทกวีเข้ามางอกงามในใจ ล่าสุด เขาได้รวมเล่มหนังสือบทกวีไตรภาค 3 เล่มพร้อมกัน พร้อมเตรียมจัดกิจกรรม“ฉันปลูกเมล็ดพันธุ์บทกวี” วันศุกร์ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 18:00-20:00 น. ณ ลานเวิ้งฉำฉา ชุมชนโหล่งฮิมคาว สันกำแพง เชียงใหม่
อยากให้ช่วยเล่าที่มาที่ไปของหนังสือบทกวีทั้ง 3 เล่มนี้ นั่งมองภูเขาและฉากผ่านอื่นๆ, ฉันปลูกเมล็ดพันธุ์บทกวี และบทกวีที่ถูกเพ่งเล็งจากช้อนส้อมของคนยากไร้
ดูเป็นเรื่องแปลกใช่มั้ย ในกระแสการอ่านการพิมพ์บทกวีเป็นเรื่องยาก แต่ผมกลับทำอีกอย่าง จะว่าบังเอิญก็ใช่ จะว่าตั้งใจก็ใช่ แต่ไม่ใช่ไม่ตั้งใจแน่ๆ ผมตั้งใจจะเอางานบทกวีชุดนี้(สามเล่ม)ออกมา เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่พยายามจะให้เกิดนะ ปัจจัยการเกิดมันเป็นไปได้ ก็ต้องให้มันเกิด ผมมีงานรวมบทกวีก่อนหน้านี้คือ เดินทางไปผู้เดียว ในปี2565 หลังจากนั้น ผมเขียนบทกวีในท่วงทำนองอย่างนี้มาตลอดนะ จนมีงานอยู่ในมือราว 300 กว่าชิ้น ก็คุยกับบอกอเสี้ยว(กนก สงิมทอง) ถามว่าพอมีเวลามั้ย ช่วยคัดเลือกงานบทกวีให้เหลือสักหนึ่งร้อยชิ้น หรือไม่ก็แปดสิบชิ้น ผมวางใจบอกอเสี้ยว อยากจะพิมพ์รวมเล่ม บอกอเสี้ยวบอก เอามาสิ เรากำลังว่างนะ อ่านให้ได้ จากนั้นก็เป็นขั้นตอนทำงานยาวหลายเดือนเลย ก็เป็นที่มาของบทกวีเล่ม นั่งมองภูเขาและฉากผ่านอื่นๆ ทีนี้ในเพจออนไลน์ ผมเข้าไปทำความรู้จักกับเพจบทกวี ชื่อว่า บนไหล่ยักษ์ มีน้องนิพนธ์ อินทฤทธิ์ ดูแลเพจนี้ คุยไปคุยมา เขาขอบทกวีที่ผมคิดว่าดีที่สุดมาทยอยลงในเพจเขา และอาจเอามารวมเล่มในลำดับต่อไป กลายเป็นว่า งานที่คัดจะลงเพจ ถูกกรุ๊ปเข้ามาเพิ่ม จนกลายเป็นบทกวีได้อีกเล่ม ผมอ่านดูแล้วรู้สึกใหม่มาก ชอบมาก มันเดินทางมาไกลในความรู้สึกตัวเองนะ มันสะท้อนเนื้อหาอันละเอียดอ่อน ลีลาที่ผมชอบ ท่วงทำนองที่เราถนัด เขียนย้ำซ้ำยืนยันมานาน จนรู้สึกถึงพลังของบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ในแบบที่เราอยากเห็น อุดมคติของงานประเภทนี้เลย จึงนำไปสู่การรวมเล่มเร็วกว่าปกติ นั่นคือเล่ม ฉันปลูกเมล็ดพันธุ์บทกวี
ขณะทำอาร์ตเวิร์กกันนี่เอง ผมก็บอกน้องนิพนธ์ว่า ผมมีบทกวีอีกเล่มนะ เก็บไว้นานสิบปีเต็มๆ บอกอเสี้ยวจันทร์เป็นบอกอให้เช่นกัน เคยจัดอาร์ตจนเสร็จ แต่ผมตัดสินใจไม่พิมพ์นะ มันแรงเกินเลยตัดสินใจไม่อยากพิมพ์นะ แรงในความหมายว่าจริงเกินไป เนื้อข้างในวิพากษ์ปะทะ แบบเราเพ้อคิดมากไปหรือเปล่า เลยเก็บเอาไว้ แต่ถึงวันนี้กลับกลายเป็นว่ามันจริงเหลือเกิน มนุษย์เป็นเช่นนั้น โลกสองด้าน มืดสว่าง โลเลเสแสร้ง ทำร้ายทำลาย สุนทรีย์ดินหินในธรรมชาติผสมปนเป เรื่องราวสุกงอม ธรรมชาติกำลังเตือนภัยความไม่มั่นคง บรรยากาศโลกสั่นไหว กลับยิ่งร่วมสมัยมากๆ เป็นเนื้อหาของคนชั้นกลางที่ใช้ชีวิตฝันหวานกับความจริงกลวงๆ ต่างๆนานา บอกสถานการณ์ชีวิตสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่รุนแรงเกินเลยมากขึ้นทุกวัน มันมีเหตุและผลความเป็นมาจากฝีมือชาญฉลาดของมนุษย์ แต่อธิบายทางธรรมสัจจะ มันคือความโง่ความเขลา ความไร้เดียงสาของสัตว์โลก ผมส่งต้นฉบับให้น้องอ่าน น้องเขาบอก เอามาพิมพ์เลยมั้ยพี่ ผมทำอาร์ตเวิร์คให้เอง ความปรารถนาดีแท้ๆ ของคนรักบทกวีด้วยกัน เป็นเหตุให้เกิดเป็นเล่ม นั่นเป็นที่มาของ ‘บทกวีที่ถูกเพ่งเล็งจากช้อนส้อมของคนยากไร้’ บทกวีสองเล่มหลังนี่ ผมใช้ ‘คำ พอวา’ นามปากกาที่ใช้เขียนบทกวีไร้ฉันทลักษณ์มานานมาก ตั้งแต่เริ่มต้นเลย งานบทกวีทั้งสามเล่ม ผมจึงจัดให้เป็นบทกวีไตรภาค ที่เกิดขึ้นในคราวเดียวพร้อมกันสามเล่มในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทำงานบทกวีครั้งแรกของผมนะ ที่ดาหน้าออกมาพร้อมกันสามเล่มราวกับพรั่งพรู เหมือนบังเอิญ แต่ไม่ใช่ความบังเอิญ
นามปากกา ‘คำ พอวา’ มีที่มายังไงนะ แต่หลายคนรู้จักคุ้นเคยสมัยเคยตีพิมพ์ในนิตยสารอาทิตย์ ยุคนายพรานผี ดูแลคัดสรร แล้วจู่ๆ กลับฟื้นมามีชีวิตตอนนี้ได้ยังไง?
ผมเริ่มต้นเขียนบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ด้วยนามปากกา ‘คำ พอวา’ ไม่เคยใช้ชื่อจริงส่งไปตามนิตยสารต่างๆ ด้วยคิดว่า นามจริงไม่น่าจะเขียนงานลักษณะนี้ได้ ต้องมีร่างใหม่ จึงจะกลั่นความรู้สึกใหม่ออกมาแทนตัวตนเรา ปรากฏว่า งานชิ้นแรกที่เขียน ได้รับการคัดเลือกมาลงตีพิมพ์ในแม็กกาซีนข่าวพิเศษ(ก่อนมาเป็นอาทิตย์) โดยมีนายพรานผี (ชัชรินทร์ ไชยวัตร)เป็นผู้คุมดูแลคอลัมน์ พร้อมกับเขียนคำเยินคำยอไว้สองสามบรรทัด ว่าเป็นงานเขียนของรุ่นใหญ่ที่ปลอมตัวมาแน่ๆ ถึงเขียนได้ดีขนาดนี้ จำได้ว่าติดดาวให้ห้าดาวเลย ทั้งๆ ที่ผมเขียนชิ้นแรกนะ ใช้ฉากกลางป่าแม่น้ำเงา เขียนถึงเส้นทางเล็กๆกลางป่าริมแม่น้ำ ผมอายุเบญจเพสพอดี ใจเราฟูสิ ดีใจ อย่างนี้เหรอคือบทกวี ก็เร่งเขียนต่อทุกวัน เขียนต่อเนื่องเรื่อยมา งานตีพิมพ์ผ่านสายตานายพรานผีอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี และปีต่อๆมา ขยับส่งงานบทกวีไปเล่มนั้นเล่มนี้แทบทุกเล่มที่เปิดรับบทกวี สนุกเลย มันไหลพรั่งพรูออกมาเหมือนตาน้ำ ถ้อยคำไหลมาจากใจไม่สิ้นสุด
ผมตามอ่านงานบทกวีในลักษณะนี้ พจนา จันทรสันติ, จ่าง แซ่ตั้ง, ตู้ฟู่, หลี่ไป๋, คาร์ล แซนด์เบิร์ก, ปาโบล เนรูดา, รพินทรนาถ ฐากูร,คาลิล ยิบราน, เฮอร์มาน เฮสเส, ติช นัท ฮันห์, วารี วายุ, สถาพร ศรีสัจจัง,วีระศักดิ์ ยอดระบำ, กานติ ณ ศรัทธา, เพลงธาบทกวีปากเปล่าของชนเผ่าปกากะญอ และอีกหลายคน ทั้งกวีไทยและต่างแดน เจอบทกวีใครที่ออกมาในแบบที่เรียกว่ากลอนเปล่า กลอนไร้ฉันลักษณ์ ผมติดตามอ่านเอามาทำความเข้าใจหมด เราชอบท่วงทำนองแบบนี้ และฝันหวานว่าจะเขียนงานให้ได้แบบ ปาโบล เนรูดา, คาร์ล แซนเบิร์ก ล้ำลึกมีมนต์ขลังอย่างเพลงธาคนปกากะญอ อะไรแบบนั้น คือเป็นแบบอย่างกวีในฝัน อย่างกวี คาร์ล แซนเบิร์ก กับกีตาร์คลาสสิค ที่เขาไปอ่านบทกวีให้คนฟัง อยู่ในใจผมมาตลอดนะ ผมอยากเป็นแบบนั้น อยากทำอย่างนั้น อยากเขียนงานบทกวีที่ขับเคลื่อนสังคม สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ ดูสิ เราไปรับแรงบันดาลใจอีกฟากขอบโลกมาอย่างนั้น
คำ พอวา เป็นชื่อที่พ้อเลป่า มหากวีชาวปกากะญอแห่งแม่แฮคี้(เขตพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม เชียงใหม่) ตั้งให้ผมนะ วันที่พบหน้ากันครั้งแรกๆ ในหมู่บ้านแม่แฮใต้ พ้อเลป่ามองหน้าผม แล้วพูดว่า คุณคือพอวา หมายถึงดอกไม้สีขาว ผมชอบมากๆ มันขึ้นอยู่ที่ไหนพะตี ผมยังถามต่อ พ้อเลป่าบอกว่า ดอกไม้ขาวขึ้นเป็นเถาว์บนต้นไม้ใหญ่ ผมอินกับความหมาย กับภาพที่เกิดขึ้นในใจมากๆ ดีใจเหลือเกิน มหากวีภูเขาเห็นผมเป็นดอกไม้สีขาวกลางป่า มันดีต่อใจมากๆ เลยบอกพ้อเลป่าว่า ถ้าผมมีลูกสาว ผมขอเอาไปตั้งชื่อลูกสาว และจะเอามาเป็นนามปากกาเขียนหนังสือด้วย ผมเลยเอา คำ มาต่อกับ พอวา กลายเป็น ‘คำ พอวา’ นามปากกาที่ใช้เขียนบทกวีโดยเฉพาะจนถึงปัจจุบัน ผมมีงานรวมเล่มบทกวีมาแล้วทั้งสิ้น 10 เล่ม
คุณมองสังคมประเทศนี้ ควรมีบทกวีจรรโลงอยู่มั้ย ในขณะที่สังคมเมืองกำลังปั่นป่วนและสิ้นหวังกันแบบนี้!?
ไม่ว่าเมืองหรือชนบท มองให้ปั่นป่วนมันก็ปั่นป่วนนะ โลกก็กำลังปั่นป่วน ระส่ำระสายก่อไฟสงคราม ไม่ต่างกันเลย สังคมก็คือชีวิต สังคมก็คือจิตใจ จิตใจไม่เสถียรนั่นแหละขับเคลื่อนสังคมขับเคลื่อนโลก สังคมต้องการบทกวีไปเยียวยาหรือไม่ โลกต้องการบทกวีเพิ่มมั้ยเพื่อยันพลังกับนักก่อสงคราม ผมไม่รู้ว่าสังคมรู้จักบทกวีมากน้อยแค่ไหน โลกต้องการมั้ย กวีคือใคร บทกวีเอาไปจรรโลงชีวิตได้อย่างไร แต่สำหรับผมในฐานะคนเขียนบทกวีมายาวนาน ผมอาศัยบทกวีมาบำบัดใจตลอดนะ บทกวีดูแลใจผมอย่างซื่อสัตย์ที่สุด เป็นโอสถล้ำเลิศดูแลรักษาใจชั้นดี อันนี้ต้องพูดกันอีกยาวละ(ฮ่าๆ)
พูดถึงบทกวี มันต้องเริ่มมาจากสภาวะการเกิดบทกวี เอาเข้าจริงแล้ว มันเป็นสภาวะสำรวจโลก สำรวจจักรวาล สำรวจเข้ามาในใจของตัวเอง ให้สัมผัสความจริง ความดีงาม ความดีในระดับจารีตขนบ หรือความดีงามระดับสัจจะจริงแท้ พื้นผิวเปลือกหรือลึกล้ำลงไป เป็นคำถามหรือต้องตอบด้วย เป็นความเห็นหรือหลักสัจจะ มันก็เป็นปรัชญา ปรัชญาชีวิต เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นมาในใจ กลั่นกรองออกมาเป็นถ้อยคำ พรั่งพรูเป็นถ้อยคำพิเศษ เป็นพยัญชนะ 44 ตัวที่ถูกผูกเรียงร้อยสลับหน้าสลับหลังขึ้นมาอย่างวิจิตรในใจที่สุด แม้คำนั้นๆจะธรรมดามากๆก็ตาม แต่เจตนานั้น มุ่งไปสู่ความจริง ความงาม สุนทรีย์แห่งชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตนะ มันงอกงามเกิดปัญญา สัมผัสได้ถึงคุณค่า เห็นความงามก็เห็นความสุข เมื่อเกิดความสุข ชีวิตก็วิจิตร สังคมก็มีความหวัง ใจมีความสุขไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ความทุกข์ยากลำบากนะ ความทุกข์ก็วิจิตรไม่ต่างจากความสุข สิ่งเหล่านั้น ล้วนเป็นต้นธารการเกิดงานบทกวี เป็นเมล็ดพันธุ์ในที่จะเติบโตงอกงามขึ้นมา นำพามาสู่การสร้างงานกวีที่ประจักษ์ถึงความจริงแท้ขึ้นมาได้ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ
สังคมที่ดีงาม ต้องมีบทกวีขับเคลื่อนอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่ด้วย ผมคาดหวังมันนะ มันคือความงาม มันคือทรัพย์ที่มองไม่เห็นด้วยตา ความจริงที่จะเหนี่ยวนำชีวิตให้เดินไปข้างหน้าอย่างทรงพลังได้ ผมเชื่อและศรัทธาในสิ่งนี้นะ การเกิดขึ้นของบทกวีบทหนึ่ง คือการเติมเต็มความบกพร่องชำรุด เช่นเดียวกับการมีอยู่ของสภาวะบทกวี มันประมวลประเมินเรื่องราวทั้งชีวิตที่หลอมรวมอยู่ในตัวเรา เป็นคลังคำที่คัดสรรความงามออกมาได้ นั่นหมายถึงการใคร่ครวญ ปฏิบัติดวงวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ ฝึกฝนซ้ำๆ สังเกตซ้ำๆ เขียนซ้ำๆ เรียนรู้สิ่งที่โลกให้ความแจ้งอยู่แล้ว หรือยังมืดอยู่ เกิดเป็นพลังงานใหม่ๆขึ้นมา ไม่ว่าสังคมจะปั่นป่วนยุ่งเหยิงเพียงใด บทกวีก็มีชีวิตเกื้อกูลต่อเติมทุกจิตใจที่ให้โอกาสบทกวีเข้ามางอกงามในใจ
สภาวะของบทกวี เป็นสภาวะที่งดงาม หมดจด เจตนามุ่งให้ไปถึงความงามทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าบทกวีบทนั้นจะเขียนด้วยอารมณ์แตกร้าวแหลกเหลวแค่ไหนก็ตาม ผมมีความหวังกับบทกวีเสมอมานะ นับตั้งแต่รู้จักบทกวี และเชื้อเชิญให้บทกวีกับสภาวะกวีเข้ามาหยั่งราก ผลิใบ แตกหน่อ ให้ดอกผลอยู่ข้างในใจเราตลอดเวลา มันเป็นมรดกของการเรียนรู้สั่งสมมา เป็นลมหายใจอันโปร่งเบา มันคือความสว่าง มันคือความสุข ความหวัง มันคือยาบำบัดใจ เป็นเนื้อหนังที่รู้สึกต่ออากาศฟ้าดินโลก และชีวิตที่ดำรงอยู่ในโลกจริงๆ ผมครุ่นคิดกับสิ่งเหล่านี้นะ จึงเขียนบทกวีออกมาได้ ถ้าไม่รู้สึกก็ยากจะหยิบสิ่งใดมาปั่นเป็นถ้อยคำ ครุ่นคิดถึงสารพัดสิ่งที่เกิดบนโลก เรียนรู้สัจจะธรรมความจริง มันยากจะเกิดบทกวีขึ้นมานะหากไม่ใส่ใจตั้งต้นรู้จักตัวเอง หรือเกิดสภาวะกวีขึ้นมาในใจ หากไม่ฝึกฝนขีดเขียนออกมาเป็นถ้อยคำ บทกวีก็อาจเป็นได้แค่สภาวะกวี แค่ความรู้สึกที่อบอวลอยู่ข้างในใจ อยู่ในสภาวะนั้นๆ ซึ่งอาจแปรเป็นความงามความสุขเฉพาะตนของใครของมันก็ได้ สภาวะกวีมีอยู่ทั่วทุกตัวคนนะ มากน้อยก็เถอะ เราต่างเดินทางท่องโลกไปด้วยกันทั้งนั้น มันดูเหมือนยาก แต่มันง่ายเมื่อคิดว่าหัวใจกวีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
จึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรม “ฉันปลูกเมล็ดพันธุ์บทกวี” ที่จะขึ้นที่เวิ้งฉำฉา ในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ เพื่อจะยืนยันว่าบทกวียังคงจำเป็นอยู่ ดำรงอยู่ และมีพื้นที่ของกวี ทั้งผู้อ่านและผู้เสพ?
ใช่เลยครับ คือผมคิดว่าบรรยากาศอ่านบทกวีเกิดไม่บ่อยนะ คนเขียนบทกวีมักเขียนเงียบๆอยู่ตามลำพัง ไม่ปรากฏตัว ไม่พยายามเสนอตัวใดๆ ด้วยซ้ำ ผมเชื้อเชิญให้กวีและบทกวีออกมาส่งเสียงบ้าง คนมาร่วมได้โอกาสให้ตัวเองสัมผัสบทกวี ได้อ่านบทกวี ฟังบทกวี ให้เกิดขึ้นมาบ้าง พื้นที่ความงามเกิดขึ้นในใจตัวเราก่อน จึงจะส่งผ่านไปถึงคนอื่น เราเชื้อเชิญกวีมาร่วมอ่านบทกวี คนสนใจบทกวีได้มาฟังบทกวี คนรักบทกวีได้มาพบกัน ผมเอาตัวเองมาวางลง เอางานบทกวีตัวเองมาแบวาง นำพาไปสัมผัสบรรยากาศของบทกวี ซึ่งคราวต่อไป อาจมีบทกวีบทใหม่ของใครก็ได้ เกิดขึ้นมาแล้วชวนกันมาอ่านบทกวีกันครั้งใหม่
งานนี้เป็นงานที่เกิดจากความตั้งใจของเจ้าของพื้นที่ คือพี่ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ กับครอบครัว ที่อยากเปิดพื้นที่แห่งนี้ คือเวิ้งฉำฉา(เขตอำเภอสันกำแพง เชียงใหม่) ให้เป็นพื้นที่แห่งความสุข บทกวีที่ผมเขียนทั้งสามเล่ม ออกมาในจังหวะนี้ ก็ได้รับเชิญให้เข้ามาส่งเสียงของความรู้สึก เสียงของบทกวีในพื้นที่ที่ตั้งใจเพิ่มเติมความสุข เป็นโอกาสที่ดีงามที่บทกวีเหล่านั้น จะถูกเปล่งเสียงออกมา ให้ได้สัมผัสคุณค่าความจริง ความงามในบทกวี ในท่วงทำนองที่ผมรื้อค้นเป็นตัวหนังสือออกมา หากมีคำใดประโยคใดหยั่งใจผู้มาฟังได้ นั่น เป็นสิ่งล้ำค่าของการเกิดขึ้นของบทกวีแล้ว มีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่เขียนบทกวีเขียนหนังสือมาร่วมอ่านบทกวีด้วย อีกทั้งมีเพื่อนนักดนตรี ประสาท ประเทศรัตน์, เอ แมลงเพลง, ชวดกับฮวก สุดสะแนน, โจ้ รังสรรค์ ราศีดิบ, จะเข้ามาสอดร้อยส่งเสียง โอบอุ้มกันและกัน เป็นคำเป็นเสียงที่ประคองวางใจไปด้วยกัน เสียงที่มีกลิ่นคำ คำที่มีกลิ่นเสียง คงเกิดบรรยากาศตรึงตาตรึงใจหยิบยื่นให้กันได้นะในวันนั้น บทกวีกับกวีมาปรากฏตัวในที่แจ้งร่วมกัน ไม่เกิดขึ้นบ่อย งานจะเริ่มตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสองทุ่ม อยากเชิญชวนมาร่วมชมงานนะครับ
องอาจ เดชา : สัมภาษณ์
23 พฤษภาคม 2563 เวลา 18.00 น. – 20.00 น. เชิญชวน ผู้มีหัวใจหลงใหล ดนตรี บทกวี ศิลปะ พบเจอกันในงาน ฉันปลูกเมล็ดพันธุ์บทกวี (คำ พอวา – สุวิชานนท์ รัตนภิมล) บทกวีไตรภาค 1.นั่งมองภูเขาและฉากผ่านอื่นๆ 2.ฉันปลูกเมล็ดพันธุ์บทกวี 3.บทกวีที่ถูกเพ่งเล็งจากช้อนส้อมของคนยากไร้
กวีรับเชิญ ภู เชียงดาว , รวิวาร , สร้อยแก้ว คำมาลา ,ไพฑูรย์ พรหมวิจิตร , ชวด สุดสะแนน , ฮวก สุดสะแนน , แพร จารุ ,โถ่เรบอ , ถิรกร แหลมกล้า, รังสรรค์ ราศีดิบ , ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ
นักดนตรี ประสาท ประเทศรัตน์ , เอ แมลงเพลง ,สุวิชานนท์ รัตนภิมล
เริ่มลงทะเบียนเข้างาน ณ เวิ้งฉำฉา ชุมชนโหล่งฮิมคาว ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป นำบทกวีที่คุณชอบมาร่วมโชว์ไปกับเรา หรือมาด้วยหัวใจที่ว่างเปล่าเพื่อรับพลังบวกเติมเต็มจากเราที่นี่ แล้วพบกัน