พ่อเฒ่า..บ้านรวมมิตร-เล่าให้ฟังว่า “ช่วงชีวิตนับแต่วัยเยาว์ เราเห็นความขุ่นข้น-เกรี้ยวกราดของสายน้ำเฉพาะฤดูน้ำหลากกลางฤดูฝนเดือนสิงหาคม และกลับคืนความสดใสในเวลาไม่นานตามจุดเปลี่ยนปลายฝน-ต้นหนาว ในแม่น้ำอุดมสมบูรณ์ไปด้วยฝูงปลาหลากชนิด รวมถึงปลาบึกได้เคลื่อนย้ายมาวางไข่เหนือผาขวาง-แก่งหางเต้น ฤดูแล้งแม่น้ำใสจนเห็นหาดทราย แก่งใต้น้ำ”

กลางเดือนสิงหาคม 2567 สายน้ำขุ่นข้นเกรี้ยวกราด เหมือนเดือดพล่าน หลังฝนเทกระหน่ำลงมาในปริมาณผิดปกติ แม่กกท่วมหนัก-รุนแรง กลายเป็นมหาอุทกภัยในรอบร้อยปี ทิ้งร่องรอยความเสียหายเป็นซากปรักหักพังของบ้านเรือนที่อาศัยริมแม่น้ำ สะพานข้ามแม่น้ำ ท้องนาถูกทับถมไปด้วยดินโคลน อย่างที่ไม่เคยเห็นในช่วงชีวิต ตลอดระยะเวลาของปีนี้จนกระทั่งเข้าสู่ฤดูฝน ความสดใสของสายน้ำได้อันตรธารหายไปพร้อมกับท้องฟ้าขุ่นมัว..ตลอดฤดูแล้ง

พ.ศ.2568 แม่น้ำกก..กลายเป็นสายน้ำสีน้ำตาลขุ่นข้นปนสารพิษจากการทำเหมืองในเขตรัฐฉาน ข่าวขยายไปทั่วลุ่มน้ำ ปรากฏความจริงตามหลักฐานข้อมูลคุณภาพน้ำโดยการตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐไทย และอาการผิดปกติบนผิวหนังชาวบ้านหลังการสัมผัสน้ำ ปลาเกิดอาการติดเชื้อปรากฏให้เห็น ผู้คนเริ่มกังวลใจหลังการเปิดเหมืองไม่กี่ปี พร้อมกับเรื่องราวที่เรามิอาจล่วงรู้ในพื้นที่ทำเหมือง มาตรการควบคุมมลพิษ การศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบทางสุขภาพ การละเมิดสิทธิชุมชนหลากเผ่าพันธุ์ ภายใต้รัฐบาลทหารพม่าซึ่งกำลังตกอยู่กับสภาวะล้มเหลวในการบริหารประเทศ

ระหว่างเทือกเขาแดนลาวกับเทือกเขาผีปันน้ำตอนเหนือเมืองกก จังหวัดเชียงตุงอาณาเขตพื้นที่รัฐฉาน ภายใต้การปกครองของรัฐบาลพม่า คือต้นกำเนิดของแม่น้ำกก ผ่านเมืองสาด เมืองยอน หมู่บ้านเปียงคำ ยากยิ่งนักสำหรับการเดินทางไปสายน้ำตอนบนกระทั่งล่วงล้ำเข้าไปถึงต้นน้ำตลอดความยาว ราว 140 กิโลเมตร พื้นที่รัฐฉานซึ่งถูกควบคุมโดยกองกำลังหว้า-เขตปกครองของรัฐบาลทหารพม่า พื้นที่รัฐซ้อนรัฐ พื้นที่กองกำลังชาติพันธุ์ เราคงทำได้เพียงสืบค้นหาเส้นทางของสายน้ำ วิถีผู้คน จากคำบอกเล่าของชาวไทยใหญ่ได้บ้าง เพียงแค่เริ่มต้นก็พบทางตัน

“ ม่าน กับจีน มีผลประโยชน์ร่วม หว้า กับกลุ่มชาติพันธ์ เป็นพียงคนรับจ้าง นักรบรับจ้าง เขาตกลงเปิดเหมืองเมื่อสิบปีที่ผ่านมา ท่ามกลางการกระชับอำนาจอย่างเข้มข้น กับกองกำลังชาติพันธุ์ “ ในค่ำคืนของการนั่งฟังเรื่องเล่าจากชาวไต-ในพื้นที่ชายแดน

“มันไม่ใช่แค่เหมืองพิษปล่อยสารพิษลงสู่น้ำกก ทำลายธรรมชาติ-ทรัพยากรป่าไม้ไร้การควบคุม แต่มันเป็นเหมืองละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ คุกคามสิทธิพื้นฐานในการดำรงชีวิตผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ละเมิดสิทธิชุมชนภายใต้กระบอกปืน มีคนถูกฆ่าตาย เพราะคัดค้านการทำเหมืองดอยคำเมืองยอน ฝั่งตรงข้ามดอยหัวแม่คำในฝั่งไทย”

“เส้นทางธรรมชาติระหว่างรัฐในแม่น้ำกกราวห้าสิบปีที่ผ่านมา วันที่พวกเขาท่อเรือขึ้น-ล่อง ตามวิถีชุมชนชายขอบ สองฝากฝั่งต้นไม้ปกคลุมหนาทึบฝูงลิงห้อยโหนไปมา ฝูงนกบินโฉบเหนือผิวน้ำ แม่กกใสราวกระจกมองเห็นปลาใต้ท้องน้ำ ไม่เคยคิดว่าแม่กกจะขุ่นข้นจนไม่กล้าเข้าใกล้”

แม่น้ำกกไหลเข้าเขตไทยในพื้นที่ ตำบลท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่เชียงราย ผ่านอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย-ดอยหลวง-เชียงแสน พื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง หมู่บ้านสบกก ไหลลงลงสู่แม่น้ำโขง สายน้ำไหลผ่านพื้นที่เชียงใหม่-เชียงราย ๑๔๕ กิโลเมตร เหมือนแม่น้ำถูกแบ่งคนละครึ่งระหว่างรัฐต่อรัฐ กลายเป็นสายน้ำไร้พรมแดนรวมความยาวตลอดลำน้ำ ๒๘๕ กิโลเมตร

“ แม่..กิน-อาบ หาปลา-เก็บพืชผักเลี้ยงชีพ ผูกพันกับแม่น้ำกกมาตั้งแต่เด็ก วันนี้ได้แต่ยืนเหม่อมอง ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าแม่น้ำจะมีสารพิษปนเปื้อนแม่กำลังจะตายโดยที่เราช่วยประคับประคองชีวิตไม่ได้ มันเศร้าใจจริงๆ” เสียงชาวบ้านเมืองงิม-ริมแม่น้ำกก ในวันที่พวกเขามารวมตัวกันเพื่อส่งเสียงสะท้อนปัญหาเพื่อส่งต่อการแก้ไข เพราะปัญหาเกินกำลังชาวบ้านตัวเล็กๆจะทัดทาน

แม่น้ำกกยังมีเรื่องราวถูกบันทึกจากเรื่องเล่าเป็นตำนาน และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ว่ากันว่าสายน้ำเป็นศูนย์กลางของวิถีสังคมชาติไต-ไท นับแต่ต้นพุทธกาลในนาม “กุกนที” ก่อนก่อเกิดเมืองเชียงราย

พญามังรายได้เลือกพื้นที่ลุ่มน้ำกกมีชื่อพื้นเมืองว่า”กุกนที” ก่อนการสร้างบ้านแปงเมืองเจียงฮาย “พระองค์ตามรอยช้างทรงชื่อมังคละซึ่งหายไปจากที่พำนัก ตามรอยจนพบสถานที่แห่งหนึ่งริมแม่น้ำกก เมื่อเดินขึ้นไปประทับบนยอดดอยทอง พบกับความสวยงานอย่างอัศจรรย์ใจ” พระองค์ตัดสินพระทัยสร้างเมืองริมฝั่งแม่น้ำกก

นั่นหมายความว่าพื้นที่ที่ถูกเลือกมีชัยภูมิที่โอบล้อมด้วยภูเขาเป็นปราการ แม่น้ำไหลผ่าน-พื้นที่ลุ่มน้ำสอดคล้องกับวิถีนิเวศน์วัฒนธรรมจึงมีพระราชดำริให้สร้างเมืองเชียงรายในปีพุทธศักราช ๑๘๐๕ ก่อนขยายไปสร้างเมืองเชียงใหม่ในลุ่มน้ำปิง มีความเป็นปึกแผ่นผนวกหัวเมืองเป็นอาณาจักรล้านนา
การตรวจคุณภาพน้ำของหน่วยงานรัฐพบสารโลหะหนักปนเปื้อนทุกจุด พบปลากินเนื้อติดเชื้อตามลำตัว ภายในเริ่มสะสมสารปรอท ตะกั่ว สารหนู ทั้งปลากินเนื้อ และปลากินพืช ช้าง-คน สัมผัสน้ำเกิดอาการผื่นคัน มันคือหลักฐานที่เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม จากการสะสมพิษจากโลหะหนักพร้อมกับช่วงระยะเวลาตลอดการทำเหมืองเถื่อน

“น้ำประปาในเมือง ไม่มีสารปนเปื้อน ปลา คน ยังปลอดภัย เพราะสารพิษเจือปนยังไม่เกินค่ามาตรฐาน” ถ้อยแถลงของของนายก รัฐบาล หน่วยงานรัฐในพื้นที่ “เราจะแก้ปัญหาด้วยเขื่อน-ฝายดักตระกอน เจรจากับพม่า ต้องรอคำตอบจากกระทรวงต่างประเทศ” ต่างจากข้อเสนอเสนอของประชานชนอย่างสิ้นเชิง ปัญหามันเกิดจากเหมือง ก็ต้องแก้ที่เหตุของปัญหา คือยุติการทำเหมือง แต่ไม่มีใครในรัฐบาล กล้าแสดงออกเท่ากับกับประชาชน หรือประเทศของเรากำลังเกิดรัฐบาลล้มเหลว

นับจากนี้ไป..สายน้ำอันทรงคุณค่าความงดงาม ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ คุณค่าในทางประวัติศาสตร์ จากเจียงฮาย ถึงอาณาจักรล้านนา หล่อเลี้ยงผู้คนไม่เลือกเผ่าพันธุ์ชาติกำเนิด รัฐชาติใดๆ มาอย่างเนิ่นนาน ณ ขณะเวลานี้ จุดกึ่งกลางของสายน้ำกำลังถูกทำลายโดยรัฐเผด็จการทหาร กองกำลังอิทธิพลหว้า กลุ่มทุนเหมืองแร่ กำลังกอบโกยสินแร่เปื้อนสารหนูในดิน ไซยาไนด์ในอุตสาหกรรมเหมืองทองคำ กำลังคืบคลานสะสมพิษคร่าสายน้ำ และสรรพชีวิต จากสายน้ำแห่งชีวิต-สายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ชนชาติไทย กำลังกลับกลายเป็นสายน้ำแห่งความตาย

หยุดเหมืองพิษคืนชีวิตสายน้ำกก
สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
ภาพ:จงจิตร มูลมาตร