เป็นคำถามที่ทำให้ฉันนิ่งงัน เพราะการเล่นดนตรีของฉันก็เหมือนการเขียนหนังสือ วาดรูป ถ่ายภาพ …. ไม่รู้สิ เราทำสิ่งเหล่านี้เพราะมีความสุข ปลดเปลื้องความทุกข์ หรือทำอะไรสักอย่างแก้เซ็ง เรามิใช่นักดนตรีที่ต้องเล่นดนตรีทำมาหาเลี้ยงชีพจึงมิต้องเคร่งครัดกับการเล่นให้เหมือนกับบทเพลงต้นฉบับทุกประการ เรามิใช่ศิลปินที่ต้องสรรสร้าง รีดเค้น ความคิด อารมณ์ สร้างผลงานเพื่อสื่อสารกับผู้ฟังเป็นบทเพลง พวกเราร้องเพลง เล่นดนตรีตามความสุข เล่นให้สนุก เศร้า เหมือนศิลปิน เราหาเครื่องดนตรีที่เหมือนกับศิลปิน ใช้เอฟเฟค แอมป์แบบเดียวกัน ตั้งค่าเครื่องดนตรีให้เหมือนเครื่องดนตรีและอุปกรณ์ของศิลปิน เพื่อสัมผัส เข้าถึงศิลปะของศิลปิน
ฉันคิดว่า ศิลปินบางคนก็คงไม่ชอบที่มีคนเลียนแบบเขา เล่นดนตรีเหมือนเขา พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเขา แต่เมื่อเราเล่นเพลงแตกต่างออกไป เราก็มักจะถูกตำหนิว่า ไม่เคารพบทเพลง ไม่เคารพดนตรี หรือ ไม่เคารพผลงานของศิลปิน การแต่งเติมเมโลดี้ เหรือเล่นเพลงในทำนองอื่นจึงทำได้เพียงเล็กน้อย เพราะมันเป็นเรื่องมุมมองทางความคิด หากนำเสนอบทเพลงของศิลปินออกมาดีก็เป็นสิ่งที่ส่งเสริมบทเพลง ส่งเสริมศิลปิน ส่งเสริมผู้เล่น แต่ถ้าทำบทเพลงของศิลปินเสียหาย ก็อาจจะถูกแฟนเพลงกระทืบทำร้าย ปัจจุบัน แฟนเพลงหัวรุนแรง เช่นเดียวกับ แฟนบอลหัวรุนแรง (Football Hooligan) ก็มีอยู่มากมาย
เราไม่มีทางเล่นเพลงให้เหมือนศิลปินหรอกเพื่อน เราอาจใช้วิธีร้องแบบเขา เล่นดนตรีในแบบของเขา เล่นเพลงคล้ายคลึงกับเขา แต่เราไม่มีจิตวิญญาณของศิลปินในการสื่อสารดนตรีเช่นเดียวกับเขา เราไม่มีทางเหมือนเขา แม้แต่คู่แฝดเกิดจากไข่ใบเดียวกัน อยู่ในท้องแม่คนเดียวกัน ถูกเลี้ยงให้เติบโตเหมือนกัน เสียงที่เปล่งออกมาก็ยังแตกต่างชัดเจน การเล่นดนตรีก็เช่นเดียวกัน เครื่องดนตรีอาจเหมือนกันแต่เมื่อเริ่มเสียงเสียงที่ได้ก็ยังแตกต่าง ยิ่งเป็นเสียงดนตรีที่เล่นโดยศิลปินยิ่งแตกต่างชัดเจน
จังหวะ โทนเสียง อารมณ์ ความคิด สิ่งที่ศิลปินต้องการสื่อสาร ศิลปินเท่านั้นที่สามารถสื่อสารออกมาได้ดีที่สุด เราจึงเห็นผู้คนมากมาย ยอมซื้อบัตรคอนเสิร์ตเพื่อชมการแสดงของศิลปินที่เขาชื่นชอบ แม้การเล่นดนตรีบนเวทีคอนเสิร์ต คือ โชว์ประเภทหนึ่ง แต่ความชัด จัดเจน ด้านการสื่อสารเพื่อบอกเล่าเรื่องราวบนเวทีก็เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน เริ่มตั้งแต่วิธีคิด วิธีร้อง วิธีเล่น วิธีสื่อสาร การลำดับเรื่องราวหลายสิ่งที่ศิลปินต้องการนำเสนอบนเวที
ย้อนกลับไปในวันเริ่มต้น การฝึกเล่นดนตรีก็เหมือนการกลับไปสู่วัยเด็ก เราพยายามจดจำ ทำความเข้าใจ พยายามออกเสียงเพื่อสื่อความหมาย เมื่อโลกไม่เข้าใจเรา เราก็ตะโกน กรีดร้อง การเริ่มเล่นดนตรีจึงเป็นการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การเปล่งเสียงอาจไม่ถูกต้อง สื่อความหมายผิดพลาด แต่ภาษาของนักดนตรีมือใหม่แม้ไม่ไพเราะ แต่ก็เป็นภาษาที่จริงใจ
ตอนที่เราเป็นเด็ก เราพยายามสื่อสาร พยายามส่งเสียง เหมือนตอนที่เราหยิบกีตาร์ขึ้นมาดีด ให้กีตาร์ส่งเสียง หลังจากนั้นเราก็เริ่มเล่นเพลง จับกีตาร์ เรียนรู้คอร์ด เหมือนเด็กน้อยที่กำลังพยายามเรียนรู้อักษร A B C D เมื่อเติบโตก็ฟังครูสอนในห้องเรียน อ่านหนังสือ เหมือนขณะที่เราฟังเพลงแล้วเล่นดนตรี แกะเพลง หรือฝึกอ่านโน้ต เมื่อถึงเวลาที่เราต้องอยู่หน้าชั้นเรียน ต้องแนะนำตัว หรือพูดอะไรบางอย่าง เราก็มักจะเกิดอาการประหม่า เขินอาย
เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องพูดอะไรบนเวที คำถามเหล่านี้ก็มักจะเกิดขึ้น เช่น เรื่องราวที่ต้องการสื่อสารคืออะไร ? ความรัก ความทุกข์ ความเศร้า ความสุข ความคิดหรือปรัชญา ฯลฯ เราจะเล่าเรื่องราวออกมาอย่างไร ใช้อะไรในการนำเสนอ การนำเสนอด้วยดนตรีควรเล่นอย่างไรเพราะดนตรี ไม่มีความหมาย ไม่มีสัญญะ เช่นนั้น เราควรเติมความหมายให้กับดนตรีเติมเนื้องร้องเป็นบทเพลง เติมความรู้สึกสุข เศร้า สนุก แล้วจัดระเบียบดนตรีให้ตัวโน้ตเป็นระเบียบเรียบร้อย เพิ่มความไพเราะด้วยทฤษฎีทางดนตรี เมื่อผลงานสมบูรณ์แบบ ผลงานเพลงก็เหมือนกับภาพวาดของศิลปินที่จัดแสดงในแกลเลอรี่มีการจัดนิทรรศการ
ใช่ ! คอนเสิร์ตคล้ายกับนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะ แต่คอนเสิร์ตเหมือนกับมหาวิหารแห่งดนตรีที่เป็นศูนย์รวมสาวกของศิลปินมากกว่า เหล่าสาวกกรีดร้อง ร่ายร่ำ กระโดดโลดเต้น เรียกร้องความสนใจ เพื่อให้ศิลปินอันเป็นเหมือนศาสดาหันมามองพวกเขาสักครั้ง บทเพลงแห่งห้วงยามนั้นจึงเป็นดั่งบทสวดสรรเสริญศิลปินจากเหล่าสาวกอันบ้าคลั่ง
ใช่แล้วเพื่อน ! การกรีดร้องอันเจ็บปวดในบทเพลงเฮฟวีเมทัลของฉันคือสาเหตุแห่งคำถาม เธอต้องการสื่อสารอะไรในดนตรี ?