“สำรวย ผัดผล” คือนักพัฒนาเอกชนที่เกิดและเติบโตที่จังหวัดน่านช่วงสงครามอินโดจีน ต่อเนื่องถึงการสู้รบระหว่างประชาธิปไตยกับพรรคคอมมิวนิสต์ สำรวย ผัดผล เริ่มทำงานเป็นอาสาสมัครในศูนย์รับผู้อพยพลี้ภัยสงคราม ช่วงสงคราม “ลาวแตก” หรือสงครามภายใน สปป.ลาว ทำหน้าที่อาสาสมัครและเป็นผู้จัดตั้งหมู่บ้าน เมื่อการเมืองชัดเจน มีการปะทะกันในเขตพื้นที่ชายแดน มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 มีนโยบายใช้การเมืองนำการทหาร คนที่เคยหนีเข้าป่ากลับเข้าเมือง สำรวย ผัดผล เดินทางเข้ากรุงฯ เพื่อมีโอกาสพบกับบุคคลสำคัญในวงการพัฒนาเอกชน เขาพบกับอาจารย์สเน่ห์ จามริก นั่นทำให้เขาเป็นนักพัฒนาคนสำคัญของจังหวัดน่านในเวลาต่อมา เขาได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อในการเก็บเมล็ดพันธุ์พืช สร้างเป็นผลงาน กลายเป็นความมั่นคงทางอาหาร การอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวและการพัฒนาเกษตรแบบผสมผสาน สามารถจัดทำเป็นโครงการ ก่อตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้และโรงเรียนชาวนาที่จังหวัดน่าน
ลูกชายของหมอยาประจำถิ่น
ผมเกิดและเติบโตที่ จังหวัดน่าน เป็นคนเมืองจั๋ง อำเภอภูเพียง ครอบครัวเป็นชาวนา พ่อทำงานเป็นหมอยา (หมอเมือง หรือ หมอแผนโบราณ) พ่อพิการ แขนขวาไม่มี แต่เป็นที่เคารพของคนในหมู่บ้าน ผมเป็นนักพัฒนาเอกชนที่แตกต่างจากพี่น้องนักพัฒนาเอกชนจากที่อื่น แน่นอนว่า การทำงานพัฒนาไม่ได้เกิดจากการคิดเองทั้งหมดแต่เกิดจากบริบทสังคมกล่อมเกลา วัยเด็กครอบครัวของผมไม่มีรายได้จากการเป็นหมอยา รักษาคน รักษาด้วยสมุนไพร หรือ การดูแลผู้อื่น พ่อไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินทองเหมือนหมอแผนปัจจุบัน แต่พ่อจะได้รับความเคารพ เวลาพ่อทำนา ทำไร่ ไถสวน ชาวบ้านก็จะมาช่วยพ่อเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นคนที่พ่อเคยรักษา เป็นภาพประทับใจ ผมอยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อม ครอบครัว พี่น้อง เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน
ผมเข้าใจว่า แรงบันดาลใจของผมมาจากบทบาทของพ่อที่มีต่อการช่วยเหลือคนอื่น ตั้งแต่เด็กผมก็ขี่หลังพ่อ เมื่อมีคนมาบอก เขาจะเอากรวยดอกไม้ธูปเทียนมาอันหนึ่ง บอกว่าบ้านนั้นจะคลอด การทำคลอดเหมือนเป็นงานประจำ ผมเคยนับคนที่พ่อทำคลอดมีจำนวน 126 คน เพราะยุคสมัยก่อนไม่มีอนามัย เมื่อเวลาผ่านไปเราก็กลายเป็นที่รักของชุมชน อีกด้านหนึ่งของพ่อก็จะดูแลครอบครัว ผมเป็นลูกคนสุดท้อง เป็นลูกคนที่ 7 พวกเราต้องทำนา ก่อนพ่อจะพิการ พ่อเคยทำงานเป็นภารโรงในโรงเรียน ช่วงเวลาที่ทำงานพ่อไม่ได้จับจองที่ดิน เมื่อชาวบ้านจับจองที่ดินเรียบร้อยแล้ว ก็จะเหลือที่ดินซึ่งเป็นดินโป่ง ดินเค็ม ผมกลายเป็นลูกศิษย์พ่อเรื่องการบุกเบิกแปลงนา ทำให้ดินเค็มดีขึ้น ทำระบบน้ำ การทำแปลงข้าว ต้องตระเวนไปเก็บพันธุ์ข้าวเพราะเราปลูกข้าวเหมือนไร่นาคนอื่นไม่ได้ ดินของเราไม่เหมือที่นาของคนอื่น เราได้ความรู้ ได้ทักษะเรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว นอกจากนั้นก็ต้องทำระบบน้ำ ห้วยอยู่ตรงไหน ต้องทำพนัง การทำฝาย เราจึงเข้าใจเรื่องน้ำ เหมืองฝาย
เมื่อเรียนหนังสือจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 ผมเข้ามาอยู่ในเมืองน่าน เริ่มห่างจากพ่อ เราเรียนมัธยม ด้วยความทะยานอยากเพราะเราเป็นเด็กเรียนเก่ง ตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1-7 ก็สอบได้ที่ 1 ตลอด เข้ามัธยมศึกษาตอนต้น (มส.3) ก็สอบได้ระดับต้นๆ ของห้อง แต่ด้วยความที่เราเป็นเด็กยากจน พ่อก็บอกว่า เรียนจบ มส.3 ก็พอแล้ว เราอยากเป็นทนายความ นักการเมือง มันเป็นความไฝ่ฝัน เพราะยุคสมัยก่อนหมู่บ้านของผมเป็นหมู่บ้านสีแดง (พื้นที่ที่พรรคคอมมิวนิสต์เข้ามามีอิทธิพลหรือฐานที่มั่น) เมื่อราชการเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านก็ลำบาก ต้มเหล้าไม่ได้ ตัดไม้ไม่ได้ เราอยู่กินแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมจึงอยากเป็นนักกฎหมาย อยากเป็นทนายความ อยากเป็นนักการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง แต่มันเป็นไปไม่ได้ เมือเรียนจบ มส.3 พี่ของผม 2 คนมีโอกาสเรียน จึงแนะนำให้ผมเรียนเกษตรที่วิทยาลัยเกษตรน่าน ปวส. เรียนได้ 5 ปี เมื่อเรียนจบก็อยากกลับบ้านมาทำฟาร์ม มาบุกเบิกแปลงนา พี่ชายก็เตรียมงบประมาณให้ แต่พ่อก็บอกว่า “เรียนมาขนาดนี้แล้วต้องไปทำงาน ไปรับราชการ” ผมก็ไม่อยากรับราชการ ไม่อยากทำงานเป็นพนักงานบริษัท
อาสาสมัครค่ายอพยพผู้ลี้ภัยสงคราม
ช่วงนั้น เป็นช่วงหลังสงครามอินโดจีน “ลาวแตก” เกิดความแตกแยกและขัดแย้งใน สปป.ลาว ประเทศไทยตั้งศูนย์รับผู้อพยพลี้ภัยสงคราม น้ำตวง น้ำยาว จังหวัดน่าน และตำบลภูซาง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา รับผู้อพยพจำนวนหลายแสนคน มีองค์กรพัฒนาเอกชนหลายประเทศเข้ามาทำงาน มีผู้ลี้ภัยสงครามมีการรับอาสาสมัครเข้าทำงาน ผมทำงานเป็นอาสาสมัคร ทำงานกับมูลนิธิ ชื่อว่า Ockenden Venture หรือ Ockenden International องค์กรนี้เป็นองค์กรเล็กๆ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอังกฤษซึ่งมีครอบครัวที่มีฐานะดี สร้างมูลนิธิ อุทิศเงินเพื่อช่วยเหลือศูนย์อพยพ
ผมทำงานเล็กๆ ส่วนคนที่จบมหาวิทยาลัยเขาจะมีตำแหน่งใหญ่ ผมทำหน้าที่พาคนที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนไทยซึ่งเคยอาศัยอยู่แนวตะเข็บชายแดน พาพวกเขากลับบ้านและตั้งรกรากใหม่ สอนเขาทำการเกษตร เลือกที่ดิน แถวศูนย์อพยพ อ.บ่อเกลือ อ.สันติสุข อ.สองแคว พ.ศ.2523-2524 มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 หมายความว่า ป่าคืนสู่เมือง ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หลายคนเริ่มทยอยกลับบ้าน ผมก็พาเขากลับบ้านเดิม แต่เราไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไร เราเพียงประคับประคองครอบครัวของพวกเขาให้มีโอกาสทำมาหากิน
ย้อนกลับไปตอนที่ผมทำงานกับพ่อ ใจผมติดอยู่กับการเก็บเมล็ดพันธุ์ เทียบกับวัยรุ่นก็มีลักษณะเหมือนคนเก็บแสตมป์ มันก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ผมเจอเมล็ดพันธุ์อะไรก็เก็บ เหมือนคนอพยพลี้ภัย เวลาที่เขาเดินทางไปไหนเขาก็จะมีน้ำเต้าเก็บเมล็ดพันธุ์ ชาวเขาเวลาที่เขาอพยพเขาจะมีเมล็ดพันธุ์ใส่ในน้ำเต้า เขาจะเก็บเมล็ดจนครบ เมื่อไปเจอสถานที่แห่งใหม่ เขาจะสร้างความมั่นคงทางอาหารก่อน มันถูกกับลักษณะนิสัยของผม ผมจึงมีเพื่อนเป็นกลุ่มชนเผ่าต่างๆ มีเมล็ดพันธุ์ เหมาะสมกับภารกิจของหน่วยงานซึ่งเหมือนกับสังคมสงเคราะห์ แต่เราเอาไปบวกกับนิสัยความชอบส่วนตัว
พ.ศ.2534 ผมออกจากศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย ผมต้องการกลับบ้าน ต้องการฟื้นแปลงเกษตร ศูนย์อพยพก็ประกาศปิดแต่ผู้อพยพยังอยู่ เขาจึงขยายเวลา ผมมีโอกาสเรียนรู้ ผมไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย เวลาสมัครงาน อาสาสมัคร ทักษะเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ทักษะการใช้ภาษา ทักษะการวางแผนพัฒนา พยายามเรียนรู้ว่า คนที่มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นได้หลายๆ คน เขาทำกันอย่างไร เรามีโอกาสเขียนโครงการ ฝึกภาษาในศูนย์อพยพ มีสหประชาชาติ (UN) มีแผนกสิทธิมนุษย์ชน อาหาร เขามีอาสาสมัครนานาชาติไม่ต่ำกว่า 14 ประเทศ มีเครือข่าย NGO และรัฐ ผมมีโอกาสพบกับอาสาสมัครชาว อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น อเมริกัน มีโอกาสได้ข้อมูลระหว่างประเทศ อีกด้านหนึ่ง เรารู้จักเพื่อนอาสาสมัครคนน่านและคนไทย เรามีโอกาสได้รับหนังสือ เพื่อนที่เขาเอางานพัฒนามาให้อ่าน งานเขียนของอาจารย์ประเวศ วะสี, ธีรยุทธ บุญมี กลุ่มทำงานทางการแพทย์ กลุ่ม หมอ โรงบาล โรงเรียน หนังสือเขามีเยอะ ผมก็เข้าพัวพัน ได้อ่านหนังสือและได้รู้ว่า มีแนวความคิดแบบหมอ ชนบท แบบหมอประเวศ วะสี ผมรู้จักท่าผ่านหนังสือ ภายหลังถึงรู้จักตัวจริง
ก่อนหน้าเข้าศูนย์ ผู้อพยพลี้ภัยสงครามในประเทศไทยเยอะมาก สงครามอินโดจีน สงครามภายใน สปป.ลาว หรือเรียกที่เรียกว่า “ลาวแตก” เป็นเงื่อนไขนอกประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์ ชนะการสู้รบในลาว อินโดจีน ตามลำดับ ขณะเดียวกัน พรรคคอมมิวนิสต์ไทยก็เคลื่อนไหวในน่าน แน่นอนว่า ตอนผมเป็นวัยรุ่นผมก็มีโอกาสอ่านหนังสือหัวก้าวหน้า ช่องการเข้าถึงก็จะต่างไป ผมก็จะมีโอกาสอ่านหนังสือหัวก้าวหน้าในองค์กรเอกชนพัฒนาเอกชนในศูนย์อพยพ หมอ โรงบาล ก่อนหน้านั้นผมก็จะรับข้อมูลข่าวสารจากนักพัฒนาก้าวหน้าและนักศึกษาที่เข้ามาทำงานในน่าน ข้อมูลมหาศาล ข้อมูลมีมากกว่ามหาวิทยาลัย เรารู้จักบุคคล เช่น จาตุรนต์ ฉายแสง, จรัล ดิษฐาอภิชัย เราพัวพัน รู้จักมักคุ้น เวลาประชุมหมู่บ้านเราก็เอาหนังสือของเขามาอ่าน
ทำงานกับพระ อนุรักษ์ป่า อนุรักษ์ธรรมชาติ
น่าน อยู่ในช่วงจังหวะการเปลี่ยนผ่าน พรรคคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลทางความคิด ผมเกิดและเติบโตในช่วงนั้น เมื่อลาวแตก เราก็มีโอกาสได้ทำงาน มีโอกาสได้อ่านหนังสือหัวก้าวหน้าอย่างอาจารย์หมอประเวศ วะสี เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มผ่อนคลาย กระทั่ง รัฐบาลมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ใช้การเมืองนำการทหาร นักศึกษาเริ่มออกจากป่า หลายคนกลับมาเป็นนักการเมือง ขณะที่ชายแดนของประเทศไทยก็เป็นพื้นทีของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน ศูนย์อพยพรับผู้ลี้ภัยปิดตัว หมู่บ้านชนบทพัฒนารอบจังหวัดน่านเริ่มจัดตั้งใหม่ ผมก็เดินทางกลับบ้าน
แต่ก่อนหน้าหน้า ผมเห็นการเคลื่อนไหวแบบอื่น มีพระรูปหนึ่ง คือ พระครูพิทักษ์นันทะคุณ ท่านเคยอยู่กับหลวงพ่อพุทธทาส และ ประยุทธ์ ปยุตฺโต ท่านเป็นเณรธรรมทายาท ศึกษาจำวัดอยู่ใกล้หมู่บ้านของผม วันหนึ่งผมพบท่านโดยบังเอิญขณะที่ผมพาชาวบ้านมาจัดตั้งหมู่บ้าน ท่านเข้าไปจำวัดและบรรยายเรื่องงานพัฒนา ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ด้วยความเป็นพระใกล้หมู่บ้าน เราก็ต้องช่วยเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อทำงานไปเรื่อย ผมก็กลายเป็นลูกศิษย์ติดตามพระท่าน ท่านมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ ท่านขอบริจาจพื้นที่ป่าเพื่อทำป่าหน้าหมู่ ผมเข้าใจแนวคิดการพัฒนา ท่านนำความคิดด้านการพัฒนามาทำงานผ่านวัฒนธรรมและความเชื่อ เช่น ชวนชาวช้านเอาผ้าเหลืองมาพันต้นไม้ ชวนชาวบ้านกั้นพื้นที่เพื่อเป็นป่า ผมก็เห็นว่า แนวทางการทำงานไม่ต่างกัน ผมร่วมมือกับพระ ทำงานกับพระ
หลังจากออกศูนย์อพยพ ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อพบกับ อาจารย์หมอประเวศ วะสี ท่านมีสำนักงานมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ผมพยายามหาเส้นทาง วิธีการติดต่อเพื่อขอพบกับคุณหมอประเวท ตอนนั้นผมอายุ 23 ปี เมื่อเดินทางไปถึงสำนักงาน เดินทางถึงห้องทำงาน แต่ก็ไม่พบกับคุณหมอประเวทย เลขานุการของท่านบอกกับผมว่า ท่านไม่เข้ามาทำงานในวันนี้ ผมก็อาบน้ำในห้องท่าน แต่โชคดีกว่า เมื่อวันนั้น มีอาจารย์ท่านหนึ่งขึ้นมาที่ห้องทำงานของคุณหมอประเวท ท่านชื่อ อาจารย์เสน่ห์ จามริก ผมมีโอกาสพูดคุยกับท่านเป็นเวลาเกือบชั่วโมง พูดคุยเข้าใจกันพอสมควร ท่านถามว่า มาทำไม ? ผมเสนอความคิดเกี่ยวกับการอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวและการพัฒนาเกษตรแบบผสมผสาน ท่านอาจารย์เสน่ห์ ท่านเมตตามอบงบประมาณให้ทำโครงการ งบประมาณแสนกว่าบาท
หลังจากนั้น ผมก็กลับบ้านแล้วจัดตั้งชมรมอนุรักษ์ พันธุ์พืชพื้นบ้านและการเกษตรผสมสผาน เป็นหนึ่งในโครงการของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดน่าน
ยุคสมัยนั้น คุณชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เป็นกรรมการ ซึ่งโครงการขนาดเล็กต้องมีการคุยกับคณะกรรมการ ซึ่งจะมีหลายกลุ่มที่เขาดูแล ที่จังหวัดน่านก็จะมีคนประสานงานคือ คุณอรุณ ปัญญา เมื่อผมเข้าไปก็เหมือนกับเข้าไปทำงานกับเครือข่ายนักพัฒนาเอกชนภาคเหนือ ผมก็เลยเกิดในโครงการผ่านทุนขนาดเล็ก ท่านใช้คำว่า ทุนตั้งต้น
เมื่อกลับมาน่าน ผมก็ตั้งองค์กรแฝดขนาน อันหนึ่งเรียกว่า ชมรมอนุรักษ์พืชพื้นบ้านเพื่อให้ตนเองมีองค์กรในการทำงานที่บ้าน ตั้งชมรมอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้าน ต่อมาก็กลายเป็นโรงเรียนชาวบ้านและศูนย์การเรียนรู้โจ้โก้ จนถึงปัจจุบัน ในเงินแสนกว่าบาท ผมแบ่งเงินเพื่อทำงานกับพระครูพิทักษ์ที่ผมทำงานด้วย เพราะเห็นว่า เครือข่ายพระค่อยข้างไปไกล อย่างน้อยก็เป็นค่าน้ำมันที่ใช้ในการเดินทาง เพราะยุคสมัยนั้น ต้องมีการเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งการบรรยายฉายสไลด์ยุคสมัยก่อนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีไฟฟ้าใช้ แผ่นสไลด์ทำจากหนังแห้ง ต้องหากระบอก ซึ่งท่านไปเรียนมาจากวัดชลประทานกรุงเทพฯ เราจัดตั้งกองทุน “รักษ์เมืองน่าน” เพื่อให้พระและคนที่ทำงานเผยแพร่ โดยมีเป้าหมายคือจัดตั้งป่าอนุรักษ์ให้มากขึ้น
ยุคสมัยก่อนยังไม่มีป่าชุมชน มีเพียงป่าหน้าหมู่ เป็นพื้นที่สาธารณะของหมู่บ้านที่จะใช้ประโยชน์ร่วมกัน ช่วงหลัง ผมพบกับปราชญ์ชาวบ้านที่ท่าวังผา ก่อนหน้านั้น เราเดินทางไปจังหวัดสุพรรณบุรีเพื่อพบพระบุญส่งซึ่งทำวังอนุรักษ์วังปลา และได้รับรางวัลอาโชก้า พี่เดชา ศิริภัทร ก็ได้รับรางวัลอาโซก้า พี่แดง เตือนใจ ดีเทศน์ ก็ได้รับรางวัลอาโซก้า ผมจึงเขียนเรื่องราวของพระครูพิทักษ์เสนอกับองค์กรอาโชก้า ใช้เรื่องการบวชป่าแล้วก็แม่น้ำ ด้วยการใช้ด้ายสาสินกันเหนือใต้ คล้ายกับพระบุญส่งทำที่สุพรรณบุรี หลังจากนั้น พระครูพิทักษ์ก็ได้รับรางวัล อาโชก้าเฟลโล่ ( Ashoka Fellow ) คณะกรรมการผู้ก่อตั้งอย่าง อาจารย์รพี สาคริก และคุณบิล ดาตัน ส่วนผมทำหน้าที่อธิบาย แปล การประชุม คุณบิว และ ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ถามคุณทำหน้าที่อะไร? ผมก็เล่าเรื่องให้คณะกรรมฟัง แล้วผมก็ได้รับรางวัล พ.ศ.2536 ผมได้รับรางวัลอาโซก้า เรื่องของภาษาอังกฤษ ( Community genatic research conservation and utilivesation ) การอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้านในถิ่นกำเนิดในระดับชุมชน ผมเติบโตขึ้น มีคนให้ทรัพยากรเพื่อให้จัดตั้งตนเองมากขึ้น เริ่มเชื่อมโยงกับต่างประเทศ
การทำงานที่ทำให้มีเครือข่ายสากล คือ ตอนที่อยู่องค์กรเดิม Ockenden Venture ให้โอกาสในการพัฒนานอกศูนย์ ไม่ใช่เพียงภายในศูนย์อพยพลี้ภัยสงคราม เรียกว่า โครงการพัฒนาไทยพายัพ เป็นของรุ่นพี่พัฒนาเค้าโครงการขึ้นมา Art for Development คือการใช้ศิลปะนำการพัฒนาชนบท รอบศูนย์เป็นชาวไทยลื้อ มีงานทอผ้าและประเพณีต่างๆ นั่นเป็นที่มาของความเข้าใจในกระบวนการจัดตั้ง ทำงานกับกลุ่มเครือข่ายชนเผ่า เกี่ยวกับงานทอผ้า ผ้าปัก ชนเผ่าอิ้วเมี่ยน ( Mien ) ม้ง (Hmong) งานจักสานของพี่น้องถิ่น “ลั๊วะ” รวบรวมเป็นสินค้าส่งออกจำหน่ายในต่างประเทศ ผมมีเครือข่ายศิลปะเพื่อการพัฒนา
การทำงาน มีการจัดตั้งใหญ่ ที่ อ.นาน้อย จ.น่าน ซึ่งการทำนาหากทำในพื้นที่น้อย ผลผลิตจะกลายเป็นอาหารของนกของหนู ความมั่นคงทางอาหารในการทำเกษตรเมื่อมีนาข้าวแล้วก็ต้องมีไร่อยู่ด้วย เขาก็ต้องบุกเบิกพื้นที่ทำไร่ทำนา งานนี้จึงมีโอกาสได้รู้จักกับคุณเดชา ศิริภัทร และได้รู้จักกับองค์การซีไรส์ ( Serice )ซึ่งเป็นองค์การฝึกอบรบและพัฒนาพันธุ์พืชและพันธุกรรม ซึ่งตรงกับรางวัลที่ผมได้รับรางวัลอาโซก้า ทำให้ผมมีโอกาสเข้าใจลึกซึ้งผ่านกระบวนการชาวนา ทำให้ผมเชื่อมโยงนักพัฒนาและนักวิจัยทั่วเอเชียผ่านมหาวิทยาลัยทั่วโลก
ผมสามารถสรุปความได้ว่า ผมเริ่มจากฐานชุมชนบ้านเกิด บนฐานพันธุกรรมพืช ใช้การจัดตั้งหมู่บ้านจนเกิดความสัมพันธ์เครือข่ายกับองค์กรในประเทศ องค์กรต่างประเทศ ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่ก็เกิดหลัง คำสั่ง 66/2523 เมื่อถึง พ.ศ.2541 ผมก็เลยร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิ “ฮักเมืองน่าน” ขึ้นทะเบียนจดแจ้งจัดตั้ง พระครูพิทักษ์เป็นประธาน ผมทำหน้าที่เป็นเลขานุการ ผู้คนก็เลยรู้จักผมในนามรักเมืองน่านมากกว่าในเวลาต่อมา ขณะที่ชมรมอนุรักษ์พันธุ์พืชเพื่อเคลื่อนไหวในเรื่อง โรงเรียนชาวนา เมล็ดพันธุ์และสร้างเกษตรกรรมยั่งยืน ส่วนมูลนิธิฮักเมืองน่านเป็นการสร้างป่าต้นน้ำ สร้างแหล่งเรียนรู้ ไม่แยกเผ่าไม่แยกพรรณ เราใช้เงื่อนไของค์กรแฝดเดิน หลังจากนั้น พ.ศ.2547 ผมก็รับหน้าที่เป็นประธานมูลนิธิ หลังจากนั้นผมลากออกเพื่อรับหน้าที่เป็นนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอีก 8 ปี เมื่อพ้นวาระผมก็กลับเข้าทำหน้าที่เป็นประธานมูลนิธิฮักเมืองน่านอีกรอบ
ศูนย์การเรียนรู้โจ้โก้ เพื่อทำพื้นฐานของชาวนา สิ่งที่เป็นความรู้ทฤษฎีและทักษะ สำหรับการทำงานเราต้องย้อนกลับไปดูกรมการข้าว ใครเป็นผู้พัฒนาพันธุ์ข้าว เมื่อมีกรมการข้าว ข้าวแต่ละสายพันธุ์ถูกติดเบอร์ทั้งหมด กลายเป็น กข. วิทยาศาสตร์มันมีทางเลือก แต่ระบบนิเวศน์ของน่านเป็นระบบจำเพาะ มันต้องการพันธุ์เฉพาะถิ่น มองเป็นโชคดีที่จังหวัดน่านไม่มีสถานีพัฒนาพันธุ์ข้าว ข้อดีคือ เราสามารถพัฒนาข้าวพันธุ์พื้นถิ่นใช้เองได้ ผมจึงจัดตั้งโรงเรียนชาวนา แล้วเอาเงื่อนไขของการพัฒนาอนุรักษ์พันธุ์กับการพัฒนาพันธุ์มาเป็นเนื้อหา ภายหลังเกิดกลุ่มจัดตั้งตนเองเหมือมหาวิทยาลัยชุมชนเพื่อเป็นพื้นฐานด้านทักษะ
เราต้องการให้ทักษะโบราณของเราไม่สูญหาย ไม่อยากให้เมล็ดเชื่อพันธุ์ข้าวของเราสูญหาย ใช่ว่าเมล็ดพันธุ์อยู่ในกระป๋องแล้วชาวบ้านไปซื้อเมล็ดพันธุ์ตามคำแนะนำ มันเป็นไปไม่ได้ที่เมล็ดพันธุ์ถูกพัฒนาโดยคนอื่น ถูกแนะนำให้เราซื้อปุ๋ย ซื้อยา โดยคนอื่น ทำตามวิธีการของคนอื่น เมื่อทำตามระบบการเกษตรก็เปลี่ยนไปตามนั้น คำถูกเปรียบเทียบเหมือนกับ “เราเอาลูกเขามาเลี้ยง แล้วก็บอกว่า ให้ลูกกินนมแม่ มันเป็นไปไม่ได้” มันต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ออกจากถิ่น เมล็ดพันธุ์จะต้องเหมาะกับระบบนิเวศน์ของมัน เรามองไปที่การอนุรักษ์พันธุ์พืช มองไปที่การพัฒนา เพื่อให้เกิดความยั่งยืน เกษตรกรเข้มแข็ง ซึ่งภายหลังการทำงานก็เติบโตสู่การอนุรักษ์พันธุ์พืชอื่นๆ ถ้าเมล็ดพันธุ์หลุดจากมือเราไปเมื่อใด ก็จะเกิดการสูญเสีย
ส่วนการทำงานกับพระครู เราก็มองเห็นว่า การดูแลแม่น้ำ เป็นอีกคำหนึ่งที่คู่กับเมล็ดพันธุ์เกษตร เราก็เลยทำวังปลาและลำน้ำสาขาเพื่ออนุรักษ์แหล่งกำเนิดและให้พันธุกรรมปลา ประจำถิ่นให้ดำรงอยู่ อีกประการ คือ ทำให้ป่าต้นน้ำให้แข็งแรง รักษาสิทธิชุมชน คือ ป่าต้นน้ำตรงจุดไหนต้องมีการคุ้มครองอย่างชัดเจน
นักพัฒนาเอกชนสู่การเป็นนักการเมืองท้องถิ่น
ถ้าเรามองเป็น 3 ระดับ มันมีคนเคลื่อนไหวเชิงการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมาย , ความมั่นคง อาหาร ที่ดิน คุณภาพชีวิต ซึ่งคนไม่ค่อยสนใจ นักพัฒนาจำนวนหนึ่งพาคนไปม็อป ยื่นข้อเสนอ เมื่อได้ตามข้อเสนอ นึกว่าได้กฎหมายแล้วมันจะเป็นไปตามข้อเรียกร้อง ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราก็สังเกตว่า เขายังสนใจเข้าไปในโครงสร้างที่เป็นฟอร์มจำนวนน้อยมาก ผมก็อยากเข้าไปลองใช้ เมื่อมีคน มีเงิน มีงาน มีระเบียบกฎหมายรองรับ เราจะสามารถทำได้หรือไม่ ข้อจำกัดอีกประการคือ เราไม่มีความสามารถในการเขียนโครงการใหญ่เพื่อรับทุน ซึ่งเราก็เห็นว่า ถึงแม้เราจะขอทุนมาทำโครงการได้ตลอด แต่เราก็ไม่มีความยั่งยืน ผมคิดว่า ถ้าท้องถิ่นสามารถดูแลเมล็ดพันธุ์ ดูแลป่าชุมชน ดูแลบริหารจัดการทรัพยากรของตนเองได้ มีข้อบัญญัติ ก็น่าจะมีความยั่งยืน
ผมได้รับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ผมทำงานได้แต่ก็มีข้อจำกัดค่อนข้างเยอะ เพราะเรายังไม่มีการมอบอำนาจในการบริหาร 100% รัฐมอบอำนาจให้ท้องถิ่นมาก็จริง แต่ ป่า ก็ยังขึ้นอยู่กับป่าไม้เหมือนเดิม ครู คลัง ช่าง หมอ ก็ได้รับงบประมาณในสัดส่วนที่ยังน้อย ช่างก็มีเฉพาะช่างบางประเภท ครูก็ยังไม่ยอมสังกัดท้องถิ่น แต่ถามว่าทำอะไรได้เยอะหรือไม่ ตอบว่า เราสามารถทำงานได้ดีกว่านักพัฒนาเอกชนที่ไม่มีทรัพยากร มันขึ้นอยู่กับกระบวนการจัดตั้ง ถ้าลองมาดูพื้นที่ซึ่งผมเคยทำงาน จะเห็นว่า เราสามารถทำให้ป่าตื่นขึ้นได้ ที่เหลือก็ระบบน้ำ เราจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านเข้าถึงน้ำ ผมคิดว่า รูปธรรมแบบนี้เป็นห้องเรียนให้กับทุกท้องถิ่น ว่า เราตรึงป่าได้อย่างไร เราสร้างระบบน้ำให้เพียงพอได้อย่างไร
น่าน ยุคสมัยก่อนเป็นเขตสีแดง (พื้นที่ที่พรรคคอมมิวนิสต์เข้ามามีอิทธิพลหรือฐานที่มั่น) มีแต่อำเภอเมืองน่าน ที่เป็นสีชมพู นอกจากนั้นเป็นสีแดงทั้งหมด ผมคิดว่า รัฐจัดตั้งตนเองได้ไม่สมบูรณ์ มีเพียงนายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ครู หมอ ส่วนเจ้าหน้าที่ ป่าไม้ อุทยาน ไม่ค่อยปรากฏตัวเท่าใดนัก สรรพสามิต ก็จับเหล้าเถื่อน ชุมชนจะรู้จักทหาร เราก็จะเห็นทั้งทหารป่าและทหารบ้าน แต่การเรียนรู้ ความสัมพันธ์ และซนในการอ่านหนังสือ ก็จะได้ข่าวสารจากหนังสือจากพวกก้าวหน้าในป่ามากกว่า ภายหลังเข้าศูนย์อพยพ ผมก็ตามเพื่อน ผมได้รับความรู้จากองค์กรระหว่างประเทศ ภายหลัง พ.ศ.2523 -2524 รัฐเริ่มจัดตั้งตนเองอย่างสมบูรณ์ หลัง พ.ศ.2537 เราเริ่มมีองค์การบริหารท้องถิ่น แต่เดิมหมู่บ้านที่ทหารจัดตั้งไว้ก็กลายเป็นหมู่บ้านถาวร
รัฐจะปราบคอมมิวนิสต์ก็ต้องมียุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์หนึ่งคือการสร้างถนน ถนนน่าน สันติสุข ถนนหมายเลข 3 ที่คนชอบท่องเที่ยวในปัจจุบัน แต่เดิมเป็นพื้นที่ยึดครองของพรรคคอมมิวนิสต์ จะทำอย่างไรให้สามารถเคลื่อนย้ายทหารไป ณ จุดที่เกิดการปะทะได้ง่าย เพราะศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ที่ภูพยัคฆ์ ฉะนั้น งบประมาณการก่อสร้างถนนจึงได้รับการอนุมัติรวดเร็วเพราะเป็นถนนสายยุทธศาสตร์ เมื่อถนนถึงไหน รัฐก็ต้องสร้างหมู่บ้านกันชน หมู่บ้านที่เข้าไปจัดตั้งใหม่ก็ต้องเป็นหมู่บ้านแนวร่วม ทหาร เพื่อปะทะกับหมู่บ้าน ใช้มวลชนปะทะมวลชน เมื่อภายหลัง เหตุการณ์สงบ รัฐเริ่มเข้มแข็ง งานด้านการอนุรักษ์ป่าไม้ กับยุทธศาสตร์ขัดกันอย่างสิ้นเชิง พ่อค้าค้าขายได้ง่ายขึ้น ถนนถึงไหน ภูเขาก็หัวโล้น
เมื่อเข้าสู่โลกทุนนิยม ชาวบ้านก็ต้องการเงิน ง่ายที่สุดก็คือการทำไร่ข้าวโพด ซึ่งในช่วงหลัง คำสั่ง 66/2523 การเรียนรู้เรื่องการปลูกข้าวโพดเข้มขึ้น พื้นที่ป่าของจังหวัดน่านกลายเป็นดอยหัวโล้นอย่างพร้อมเพรียงกัน กลุ่มคนเหล่านี้มีผลกระทบกับการทำงานของพระครู เพราะเราทำงานเรื่องป่าขุมชน แนวป่าชุมชนกับเกษตรเชิงเดี่ยว กับเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่รัฐมีส่วนในการช่วยปลูกพืชเชิงเดี่ยว มันจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนั้น กระบวนการสิทธิที่ดินจังหวัดน่านจึงกลายเป็นดราม่า เพราะคนที่ปลูกข้าวโพดบนดอยไม่มีสิทธิอยู่แล้ว เมื่อมีโครงการชดเชยพืชก็เกิดปัญหา เมื่อรัฐต้องการส่งเสริมการปลูกยางพารา ก็มีปัญหาเพราะ คนทีทำสวนยางพาราไม่มีเอกสารสิทธิ ความเหลื่อมล้ำก็ยังดำรงอยู่
กระบวนการเคลื่อนไหวชุมชน ก็ยังเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิที่ดินก็ยังเคลื่อนไหวเหมือนเดิม คนที่เคลื่อนไหวเรื่องการรักษาป่าชุมชนก็ยังทำงานเคลื่อนไหวเรื่องเกษตรกรรมเหมือนเดิม ขณะที่กลุ่มเมือง มีการใช้ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวสมานฉันท์ แต่ก็พบว่า คนต่างถิ่นบุกขึ้นไปบนดอยสูง มองในแง่ดีก็คือทำให้ผู้ประกอบการอยู่ใกล้หมู่บ้าน มันเป็นเรื่องย้อนแย้งเหมือนกัน เพราะชาวบ้านอยู่กันมานานไม่สามารถทำได้ แต่ผู้ประกอบการจากไหนไม่รู้สามารถบุกขึ้นไปบนดอยสูง คำถามคือ เขาเอาสิทธิอะไรมาทำ แต่ความจริงก็คือ เป็นเรื่องดี ดีกว่าการไปทำไร่ข้าวโพด มีผู้ประกอบการร้านค้า มีผู้ประกอบการบ้านพัก ร้านอาหารเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน ฉะนั้น พื้นที่บนดอยจังหวัดน่าน ถูกจ้องมองในฐานะของการพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่น่าสนใจว่า กระบวนการท่องเที่ยว น่านจะสอดรับกับกระบวนการพัฒนาน่านอย่างยั่งยืนอย่างไร





