การกล่าวอ้างถึง สัญลักษณ์ สัญญะ (Sign) หรือ ความรับรู้ มิได้หมายถึงระบบการโฆษณาพรรคการเมือง โลโก้ หรือนโยบายเพื่อใช้หาเสียง เพราะเมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้ พวกเราก็เหมือนเด็กมัธยมที่กำลังกล่าวถึงการหาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานนักเรียน พวกเราเหมือนเด็กน้อย เราไม่มีทางเข้าใจนักการเมืองซึ่งเปรียบเหมือนนักมวยที่กำลังชกอยู่บนเวที เราไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ไม่เข้าใจความพ่ายแพ้ และไม่เข้าใจรสชาติของชัยชนะซึ่งแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง
เราเคยมองเห็นการเมืองเป็นเรื่อง “การเลือกตั้ง” แต่เมื่อความรับรู้ทางการเมืองเปลี่ยนแปลง ความหมายของการเมืองก็ขยายขอบเขต การเมืองเป็นทั้งการแต่งตั้งและการถอดถอนนักการเมือง การเมืองเป็นเรื่องการเสนอร่างกฎหมาย การเมืองหมายรวมถึงสมัชชา(P-Move) เพื่อเคลื่อนไหวยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐ ฯลฯ มุมมองของภาคประชาชนที่มีต่อการเมืองจึงเปลี่ยนแปลง ประชาชนเรียนรู้ถึงการรวมกลุ่มเพื่อสร้างการต่อรอง แต่ในทางตรงข้าม รัฐบาลหรือรัฏฐาธิปัตย์ (Sovereignty) หรือ ผู้อำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ ก็แสดงท่าทีหรือเลือกเครื่องมือเพื่อใช้ตอบโต้ประชาชนที่แสดงบทบาทไม่หมาะสม
ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ สามารถเลือกเครื่องมือเพื่อตอบโต้การกระทำของประชาชนเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ข้อเท็จจริงของบุคคล สถานการณ์จะถูกเปลี่ยนเป็นการอนุมาน การคาดการณ์ การประเมิน และเลือกการตอบโต้ที่มีความรุนแรง บุคคลบางคนถูกจัดเป็นภัยคุกคามต่อรัฐ ทั้งที่บุคคลนั้นอาจเป็นเพียงผู้ใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญซึ่งรัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้ตราขึ้น เราจึงมองเห็นบุคคลถูกดำเนินคดี มองเห็นการเลือนหายของนักการเมืองและประชาชนผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองจากสารบบการเมืองของประเทศไทย
อะไรคือต้นสายปลายเหตุ ประชาชน รัฏฐาธิปัตย์ เครื่องมือที่ประชาชนเลือกใช้ หรือเครื่องมือที่รัฏฐาธิปัตย์เลือกใช้ เช่น เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นประชาชนรุ่นใหม่เลือกใช้การแสดงสัญลักษณ์ ส่วนรัฏฐาธิปัตย์กำหนดตัวบุคคลที่แสดงออกทางการเมืองหรือร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นภัยคุกคามต่อรัฐ ประเมินสถานการณ์ด้วยการอนุมานและเลือกใช้มาตรการดำเนินการเพื่อตอบโต้ภัยคุกคาม สุดท้ายเราก็กลับมาตั้งคำถามว่า มาตรการในการดำเนินการต่อบุคคลเหมาะสมและเป็นธรรมหรือไม่ การบังคับใช้กฎหมายขาดความเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นการเลือกปฏิบัติ หรือสองมาตรฐานใช่ไหม
คำตอบ คือ การดำเนินการตามมาตรการหรือสถานการณ์เป็นการตอบโต้ มิใช่การบังคับใช้กฎหมายในสถานการณ์ปกติ ในห้วงเวลานั้น การเมืองก็เปรียบเหมือนการชกกันบนเวที มีกรรมการคอยดูแลกฎกติกา ความปลอดภัย แต่เมื่อการเมืองมีความหมาย ขอบเขต และการกระทำที่กว้างขึ้น เราจึงมองเห็นประชาชนซึ่งมิใช่นักการเมืองแต่ฝักใฝ่การเมืองแสดงบทบาททางการเมืองอยู่บนท้องถนน เตรียมประทะกับฝ่ายตรงข้าม แต่สุดท้าย เขาก็เลือกที่จะออกหมัดแรกเพื่อล้มเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นเหมือนกรรมการบนเวที
การเมืองในประเทศไทยจึงย่ำแย่มาก ขออย่าจำกัดความหมาย คำว่า “การเมือง” ในช่วงที่ผ่านมา เพราะมีแต่ประโยค คำ และความหมายในทางลบ เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีเหตุการณ์เหล่านั้น เราก็คงไม่รู้สึกรักหรือเกลียดนักการเมืองได้มากมายขนาดนี้
เมื่อพวกเรากลับไปทบทวนจึงพบว่า พวกเราล้วนข้ามผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ข้อเท็จจริง” ทั้งภาคประชาชนและภาครัฐ เรามีอารมณ์ เราคล้อยตามคำพูด คำโฆษณา หรือสิ่งที่สื่อสารออกมาในทางลบ เรามิได้ศึกษาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง แต่เลือกที่จะเชื่อคำกล่าวของบุคคล ส่วนรัฏฐาธิปัตย์ก็เลือกเครื่องมือตอบโต้การกระทำของประชาชนโดยขาดข้อเท็จจริงอันเพียงพอ อนุมานเหตุการณ์และเลือกมาตรการตอบโต้ที่มีความรุนแรงสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแม้ว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นนานเกือบ 20 ปี แต่เหตุการณ์ทางการเมืองก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเหมือนเดิม
การเลือกที่จะไม่รับรู้ข่าวสารทางการเมืองจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงที่ผ่านมา เพราะเรามีเวลาศึกษาเรื่องศิลปะ ศึกษาเรื่องดนตรี มีเวลาตรึกตรองเรื่องการเขียนหนังสืออย่างจริงจัง เมื่อกลับมามองโลกการเมืองอีกครั้ง เราเติบโต และมีวุฒิภาวะมากพอที่จะมองการเมืองในมุมมองอื่นๆ
เราเปลี่ยนแนวคิดการสื่อสารในเรื่องราวทางการเมือง เลือกที่จะสร้างการรับรู้และสร้างสัญญะ (Sign) ใหม่ในการเมือง พยายามนำเสนอ ชีวิต วิถี ชุดประสบการณ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์และแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ค้นความหมายและเรื่องราวที่แตกต่างจากข่าวการเมืองที่ถูกสื่อสารออกมาจากสื่อหลักซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องเวลาและพื้นที่ในการนำเสนอ เรามองการเมืองเป็นเรื่องของคน คนที่มีข้อดี ข้อเสีย มีสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จ มีสิ่งที่เขาทำผิดพลาด เรื่องราวที่ถูกเล่าจึงถูกตรวจสอบและเลือกแล้วว่า เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน สร้างความเข้าใจให้กับผู้อ่าน เป็นแรงบันดาลใจและเป็นวีถีที่นักการเมืองรุ่นใหม่ควรจะเลือกเดิน
ขอบคุณรูปภาพจาก unicef.