การกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของสมาชิกวง Dream Theater ทั้ง John Petrucci มือกีตาร์ John Myung มือเบส และ Mike Portnoy มือกลองที่เป็นสมาชิกวงตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ.1985 ภายใต้ชื่อวง “Majesty” จากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Dream Theater” กระทั้งสร้างชื่อเสียงกระฉ่อนโลกแห่งดนตรี แม้สมาชิกวงได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา เช่น James LaBrie นักร้องนำคนปัจจุบันได้เข้ามาแทนที่ Charlie Dominici ตั้งแต่อัลบั้ม Images and Words และ Jordan Rudess มือคีย์บอร์ดคนปัจจุบันเข้ามาแทนที่ Kevin Moore ตั้งแต่อัลบั้มมหากาพย์ Metropolis PT. 2: Scenes from a Memory กระทั้งในปี ค.ศ. 2010 Mike Portnoy มือกลองได้หยุดพักการเป็นสมาชิกลงไป โดยทางวงได้ Mike Mangini สุดยอดมือกลองอีกคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011-2023 ซึ่ง Mike Portnoy ได้กลับมาเป็นสมาชิกวงอีกครั้งในปี ค.ศ. 2023 จนถึงปัจจุบัน กล่าวได้ว่าการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของเหล่าสมาชิกวงคนสำคัญทั้ง 5 คนคือ John Petrucci มือกีตาร์ John Myung มือเบส Mike Portnoy มือกลอง James LaBrie นักร้องนำ และ Jordan Rudess มือคีย์บอร์ด ถือเป็นช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมของวง Dream Theater ในวาระครบรอบ 40 ปี (ตั้งแต่ก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 1985)
นับเป็นอีกครั้งที่พวกเขากำลังจะมาเปิดการแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย Dream Theater Live in Bangkok 2026 40th Anniversary Tour แสดงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 แสดงที่ Idea Live / Bravo BKK จัดโดยปราชญ์มิวสิค เชิญชวนไปดูวงดนตรีระดับตำนานของโลกแห่งดนตรีร็อกที่ยังมีลมหายใจกันครับ มุมมองของผมภาพรวมทางดนตรี อาจกล่าวได้ว่าเป็นลีลา Progressive Metal ที่ผสมผสานความหนักแน่นของดนตรีร็อกและความซับซ้อนทางดนตรีได้อย่างน่าสนใจ การสร้างสรรค์รวมถึงมิติทางดนตรี รสนิยม ตลอดจนนักดนตรีทุกคนล้วนมีทักษะชั้นเลิศในเครื่องมือของตนเองทั้งสิ้น สำหรับ EP.10 นี้ถือเป็นการเตรียมต้อนรับวงระดับตำนานอีกครั้งที่จะมาทำการแสดงคอนเสิร์ตในบ้านเรา ผมนำสาระเพลง “Scene Two: I. Overture 1928” อัลบั้ม Metropolis PT. 2: Scenes from a Memory จัดจำหน่ายปี ค.ศ. 1999 สังกัดค่าย Elektra มากล่าวถึง ซึ่งนักดนตรีทั้งหมดในอัลบั้มเป็นเหล่าสมาชิกคนสำคัญทั้ง 5 คนข้างต้น
รูปที่ 1 หน้าปกอัลบั้ม Metropolis PT. 2: Scenes from a Memory
อัลบั้มนี้เป็นภาคต่อของเพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper” จากอัลบั้ม Images and Words ที่จัดจำหน่ายไปเมื่อปี ค.ศ. 1992 มีความเชื่อมโยงกันทั้งมิติทางดนตรี และเรื่องราว กล่าวโดยสรุปคือ Metropolis-Part I เสมือนเป็นการเกริ่นนำเปิดเผยเรื่องราวโศกนาฏกรรมและปมปริศนา ส่วน Metropolis-Part II เป็นการเล่าเรื่องราวทั้งหมดผ่านตัวละครชื่อ “นิโคลัส” ตัวละครเอกที่เดินทางผ่านความทรงจำในอดีตเพื่อค้นหาความจริง สำหรับ EP.10 ผมจะกล่าวถึงเฉพาะมิติทางกีตาร์ของ Scene Two: I. Overture 1928 เป็นประเด็นหลัก
รูปที่ 2 หน้าปกอัลบั้ม Images and Words
เพื่อให้กระชับจากนี้ผมจะเรียกชื่อเพลงเป็น Overture 1928 เพลงเริ่มต้นด้วยช่วง Intro เริ่มต้นด้วยคอร์ด D5 โดยนำแนวคิดมาจากคอร์ดสุดท้ายในเพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper” ถูกนำมาเป็นวัตถุดิบ (ดูตัวอย่างที่ 1 ประกอบ) จะเห็นว่าคอร์ด D5 ก็คือ Power Chord ที่ผมได้กล่าวถึงสาระไปแล้วใน EP.9 การบรรเลงกีตาร์ช่วง Intro ของ Overture 1928 ยังถูกเชื่อมโยงด้วยแนวคิดลักษณะจังหวะที่ปรากฏบนคอร์ด E5 บรรเลงด้วยโน้ต E ตำแหน่งสายเปิดที่ปรากฏช่วง Verse ในเพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper” (เวลาที่ปรากฏในเพลงคือ 1.41 นาที) การบรรเลงวนซ้ำ ๆ ลักษณะนี้สร้างเอกลักษณ์ให้กับแนวทำนองกีตาร์ช่วง Verse ของเพลง ภาพรวมอาจพิจารณาเรียกแนวทำนองกีตาร์ช่วงนี้ว่า Verse Riff (ดูตัวอย่างที่ 2 ประกอบ)
ตัวอย่างที่ 1 คอร์ดสุดท้ายในเพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper”

ตัวอย่างที่ 2 Verse Riff เพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper

แนวคิดจากตัวอย่างที่ 2 ถูกนำมาเชื่อมโยงช่วง Intro ให้กับเพลง Overture 1928 โดยบรรเลงบนคอร์ด D5 (ปรับจากแนวคิดเดิมบรรเลงบนคอร์ด E5 ด้วยเหตุผลข้างต้นที่ถูกนำมาเชื่อมโยงทั้ง 2 เพลงด้วยคอร์ดเดียวกัน) จากตัวอย่างที่ 3 แสดงแนวทำนองกีตาร์ช่วง Intro สังเกตว่ามีการใช้ลักษณะจังหวะเหมือนกันกับตัวอย่างที่ 2 ทั้งหมด การบรรเลงช่วงห้องที่ 1-7 เป็นการบรรเลงโน้ต D ตำแหน่งสายเปิด ช่วงห้อง 8-9 เพิ่มมิติเสียงให้มีความหนักแน่นขึ้นด้วยคอร์ด D5/A เป็นการจัดวางแนวเสียงจากแนวคิด Power Chord บรรเลงบนสาย 6-3 ก่อนดำเนินเข้าสู่ช่วง Main Riff ต่อไป
ตัวอย่างที่ 3 แนวทำนองกีตาร์ช่วง Intro เพลง Overture 1928

ตัวอย่างที่ 4 แสดงช่วง Main Riff เริ่มปรากฏตรงเวลา 0.27 นาที การสร้างสรรค์การบรรเลงสำหรับกีตาร์ยังคงใช้วัตถุดิบจากโน้ต D ตำแหน่งสายเปิดบนสาย 4 ผสมผสานกับโน้ต D ที่มีระดับเสียงสูงขึ้นไป 1 ช่วงคู่แปดบนสาย 3 เฟร็ตที่ 7 เป็นตำแหน่งโน้ตยืนพื้นและใช้การเคลื่อนที่จากแนวเสียงสูงสุดบนสาย 2 สร้างสีสันให้กับแนวทำนองตรงโน้ต F#, A, G# การเคลื่อนที่บนแนวเสียงสูงสุดนี้มีความน่าสนใจแฝงไปด้วยนัยสำคัญของคอร์ดตรงโน้ต F# แฝงนัยคอร์ด D ตรงโน้ต A เป็นคอร์ด D5 (ตรงตามแนวคิดโครงสร้าง Power Chord)
ส่วนกรณีโน้ต G# นั้นอาจพิจารณาได้ 2 มิติคือเป็นโน้ตลำดับขั้นที่ #11 ของคอร์ด D(#11) แต่ถ้าพิจารณาโน้ต G# เป็นโน้ตพ้องเสียงกับโน้ต Ab อาจพิจารณาเป็นคอร์ด Ddim ที่โน้ต Ab แฝงนัยคอร์ด สำหรับกรณีนี้ผมพิจารณาเป็นคอร์ด D(#11) ข้างต้น (สังเกตจากเครื่องหมาย * ตัวอย่างที่ 4) เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงท้ายของ Main Riff ซึ่งเชื่อมโยงกับ D Lydian Mode ภาพรวมกีตาร์บรรเลงด้วยลักษณะทางนิ้วแบบ 3 โน้ตต่อ 1 สายมีเอกลักษณ์ตรงโน้ตลำดับขั้นที่ #11 (หรือโน้ตลำดับขั้นที่ #4) ในที่นี้คือโน้ต G# (พิจารณาร่วมกับกรอบสี่เหลี่ยมตัวอย่างที่ 4)
ตัวอย่างที่ 4 Main Riff เพลง Overture 1928

ตั้งแต่ช่วงเวลา 0.44 นาทีเพลง Overture 1928 จะถูกขับเคลื่อนเข้าสู่วัตถุดิบใหม่เริ่มจากห้องที่ 18-25 ด้วยการดำเนินคอร์ด A(sus2)-B5-A(sus2)-F#(add4)-A(sus2)-B5-C(sus2)-D-D(sus4)-D โดยการดำเนินคอร์ดเหล่านี้ได้ไปปรากฏช่วง Chorus จากเพลง Scene Two: II. Strange Deja Vu ด้วย ซึ่งทั้งการดำเนินคอร์ดและวิธีการบรรเลงกีตาร์ทั้ง 2 เพลงเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่างกันตรงเพลง Overture 1928 เป็นเพลงบรรเลงไม่ปรากฏเนื้อร้อง (พิจารณาร่วมกับตัวอย่างที่ 5-6) การดำเนินคอร์ดนี้จะกลับมาอีกครั้งในช่วงเวลา 2.08 นาทีเป็นช่วงเชื่อมระหว่าง Guitar Solo 1 เชื่อมไปสู่ช่วง Guitar Solo 2 ต่อไป
ตัวอย่างที่ 5 การดำเนินคอร์ดเพลง Overture 1928 ห้องที่ 18-25

ตัวอย่างที่ 6 การดำเนินคอร์ดช่วง Chorus ในเพลง Scene Two: II. Strange Deja Vu

ช่วงเวลาตั้งแต่ 1.01 นาทีเข้าสู่แนวคิด E Lydian Dominant Mode และ E Whole Tone Scale รวมถึง Power Chord ตลอดจน Verse Riff เพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper ถูกนำมาสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของ Time Signature 3/4, 5/4, 4/4 ในช่วงห้องที่ 26-34 ภาพรวมแนวคิดหลักเริ่มจากการใช้ E Lydian Dominant Mode (Mode ลำดับที่ 4 ของ Melodic Minor เอกลักษณ์คือโน้ตลำดับขั้นที่ #4 (หรือโน้ตลำดับขั้นที่ #11) และโน้ตลำดับขั้นที่ b7) ร่วมกับคอร์ด E5 ปรากฏซ้ำในช่วงท้ายแต่ละห้องภายใต้ Time Signature 3/4 โดยโครงสร้างแนวคิดนี้มีความยาว 1 ห้องและถูกนำมาบรรเลงซ้ำ (พิจารณาร่วมกับสัญลักษณ์ ① ตัวอย่างที่ 7)
แนวคิดข้างต้นถูกขยายด้วยการนำ E Whole Tone Scale มาใช้สร้างสีสันเชิงทำนองในห้องที่ 29-30 ทำให้โครงสร้างแนวทำนองมีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 2 ห้อง โดยยังคงบรรเลงภายใต้ Time Signature 3/4 เช่นเดิม ขณะที่แนวทำนองห้องที่ 33 ยังคงใช้ E Whole Tone Scale แต่เปลี่ยนเป็น Time Signature 5/4 และเชื่อมต่อไปยังห้องถัดไปด้วยคอร์ด D5/A และ F5 (พิจารณาร่วมกับสัญลักษณ์ ② ตัวอย่างที่ 7) จากนั้นในห้องที่ 34 ปรากฏการนำ Verse Riff มาจากเพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper มาใช้โดยตรงบรรเลงไปบน Time Signature 4/4 (สัญลักษณ์ ③ ตัวอย่างที่ 7) ก่อนที่เพลงจะพัฒนาเข้าสู่ช่วง Synthesizer Solo 1 ซึ่งดำเนินต่อไปบน Main Riff ของเพลง
ตัวอย่างที่ 7 แนวทำนองกีตาร์เพลง Overture 1928 ห้องที่ 26-34

Guitar Solo 1 ปรากฏเวลา 1.35 นาที ภาพรวมเริ่มต้นด้วยกุญแจเสียง B ไมเนอร์โดยห้องที่ 43-50 ใช้วัตถุดิบการดำเนินคอร์ดบางส่วนมาจากช่วง Verse เพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper (ปรากฏเวลา 3.08 นาที) มีการดำเนินคอร์ดเป็น Bm-G-Em-D-A นอกจากนี้การสร้างสรรค์แนวทำนองกีตาร์ ยังแฝงไปด้วยนัยสำคัญจากเค้าโครงแนวทำนองร้องช่วง Verse ทั้งโน้ตและลักษณะจังหวะอีกด้วย ซึ่งผมได้นำแนวทำนองมาเปรียบเทียบกันดังตัวอย่างที่ 8 เส้นทึบแสดงถึงการใช้โน้ตเดียวกัน ส่วนเส้นประแสดงถึงใช้ลักษณะจังหวะเดียวกัน (พิจารณาร่วมกับตัวอย่างที่ 8)
ตัวอย่างที่ 8 เปรียบเทียบแนวทำนองร้องช่วง Verse เพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper และช่วง Guitar Solo 1 เพลง Overture 1928 ห้องที่ 43-50

อีกความน่าสนใจช่วง Guitar Solo 1 ที่ปรากฏขึ้นในเพลง Overture 1928 ตรงช่วงเวลา 1.52 นาที จากตัวอย่างที่ 9 ผมอยากให้สังเกตบทบาทโน้ต E (ตรงเครื่องหมาย *) ทำหน้าที่บ่งบอกนัยโน้ตเอกลักษณ์ของ F# Mixolydian Mode ที่สัมพันธ์กับคอร์ด F#7 โดยโน้ตนี้มักมีบทบาทช่วงเริ่มต้นหรือจบ Motif ผสมผสานไปกับโน้ตในคอร์ด F#7 และ F# Mixolydian Mode ส่วนช่วงท้ายตรงห้องที่ 56-58 แนวทำนองสอดแทรก Chromatic Note ที่ไม่ได้อยู่ในกุญแจเสียงหลักถูก สร้างสรรค์ร่วมไปกับความหนาแน่นลักษณะจังหวะที่มีมากขึ้น ช่วยขับเคลื่อนแนวทำนองนำไปสู่ช่วงต่อไปของเพลง นอกจากนี้ยังพบว่าแนวทำนองและ Motif ที่ปรากฏจากกรอบสี่เหลี่ยมตัวอย่างที่ 9 ถูกนำไปใช้สร้างสรรค์ในเพลงอื่นด้วย
ตัวอย่างที่ 9 แนวทำนอง Guitar Solo 1 เพลง Overture 1928 ห้องที่ 51-58

ความน่าสนใจของแนวทำนองที่ปรากฏในกรอบสี่เหลี่ยมจากตัวอย่างที่ 9 ข้างต้นถูกนำมาสร้างสรรค์อีกครั้งช่วง Guitar Solo เพลง Scene Seven: II. One Last Time (ปรากฏเวลา 2.03 นาที สามารถรับฟังเพลงได้จากลิงก์ด้านล่างตัวอย่างที่ 10) จากตัวอย่างที่ 10 กรอบสี่เหลี่ยมแสดงประเด็นการแนวทำนองข้างต้นมาเป็นวัตถุดิบในแนวทำนองช่วง Guitar Solo ซึ่งบรรเลงบนคอร์ด F#7 เช่นเดียวกัน ภาพรวมที่ปรากฏในกรอบสี่เหลี่ยมถูกนำมาสร้างสรรค์ดังนี้
สัญลักษณ์ ① นำ Motif ที่ปรากฏในแนวทำนองกรอบสี่เหลี่ยมตัวอย่างที่ 9 มาใช้โดยช่วงท้าย Motif มีการเชื่อมเสียงให้ค้างยาวยิ่งขึ้น
สัญลักษณ์ ② แนวทำนองคล้ายกับช่วงท้ายห้องที่ 54 ถึงต้นห้องที่ 56 จากตัวอย่างที่ 9 ซึ่งช่วงท้ายแนวทำนองผสมผสานเทคนิค Right-hand Pick Tapping
สัญลักษณ์ ③ แนวทำนองเหมือนกับกรอบสี่เหลี่ยมตัวอย่างที่ 9 ห้องที่ 51-52
สัญลักษณ์ ④ นำ Motif ที่ปรากฏในแนวทำนองกรอบสี่เหลี่ยมตัวอย่างที่ 9 มาขยายประโยคยาวขึ้นด้วย F# Minor Pentatonic Scale ผสมผสานเทคนิคดันสายร่วมไปกับค่อย ๆ เพิ่มความหนาแน่นลักษณะจังหวะในช่วงท้าย
ตัวอย่างที่ 10 Guitar Solo เพลง Scene Seven: II. One Last Time

ช่วง Guitar Solo 2 เพลง Overture 1928 ปรากฏช่วงเวลา 2.26 นาที เป็นวัตถุดิบการดำเนินคอร์ดจากช่วง Intro (หรือช่วง Chorus) เพลง Scene Seven: II. One Last Time มีการดำเนินคอร์ดเป็น C#m-B-G#m-A ในกุญแจเสียง C# ไมเนอร์ แนวทำนองกีตาร์ยังแฝงนัยความเชื่อมโยงกับแนวทำนองเปียโนช่วง Intro นำเข้าเพลง Scene Seven: II. One Last Time (ลองฟังเปรียบเทียบทั้ง 2 เพลงครับ)
นอกจากนี้ยังพบว่าแนวทำนองนี้ถูกนำกลับมาอีกครั้งในเพลง Scene Nine: Finally Free (ปรากฏเวลา 5.28 นาที) เพื่อความชัดเจนผมได้นำแนวทำนอง Guitar Solo ทั้งเพลง 2 มาเปรียบเทียบกันตามตัวอย่างที่ 11 บรรทัดบนเป็นช่วง Guitar Solo 2 เพลง Overture 1928 ห้องที่ 67-75 ส่วนบรรทัดล่างเป็นช่วง Guitar Solo ในเพลง Scene Nine: Finally Free โดยการดำเนินคอร์ดแตกต่างกันในช่วงท้ายตั้งแต่ห้อง 73-75 (ตรงเครื่องหมาย *) กรณีแนวทำนองส่วนใหญ่มีการใช้โครงแนวทำนองจากวัตถุดิบคล้ายกัน ผมสรุปภาพรวมการเปรียบเทียบในแนวตั้งของทั้ง 2 บรรทัดได้ตามตัวอย่างที่ 11 เป็นดังนี้
สัญลักษณ์ ① แสดงแนวทำนองเหมือนกัน
สัญลักษณ์ ② โครงแนวทำนองจากวัตถุดิบคล้ายกัน
สัญลักษณ์ ③ โครงแนวทำนองเริ่มหรือจบโน้ตเดียวกัน
ตัวอย่างที่ 11 เปรียบเทียบแนวทำนองช่วง Guitar Solo เพลง Overture 1928 ห้องที่ 67-75 กับเพลง Scene Nine: Finally Free

ช่วง Guitar Solo 2 ยังมีความน่าสนใจอีกด้านแนวคิด Lydian Mode ถูกนำกลับมาสร้างสรรค์อีกครั้งช่วงห้องที่ 76-82 ปรากฏเวลา 2.45 นาที แนวทำนองสร้างสรรค์อยู่ใน C Lydian Mode ที่สัมพันธ์กับแนวคิด Power Chord ตรงการดำเนินคอร์ด C5-D5-A5-B5-C5-D5-A5-B5-F#5 ภาพรวมแนวทำนองห้องที่ 76-77 ถูกนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับนำกลับมาสร้างสีสันเสียงด้วยการพัฒนาประโยคให้ยาวขึ้นร่วมกับสร้างแนวทำนองประสานเสียงด้วยขั้นคู่ 3 ห้องที่ 78-79 (กรอบสี่เหลี่ยมสัญลักษณ์ ① ตัวอย่างที่ 12) และบรรเลงช่วงคู่แปดห้องที่ 80-81 (กรอบสี่เหลี่ยมสัญลักษณ์ ② ตัวอย่างที่ 12) ก่อนที่แนวทำนองจะแฝงไปด้วยแนวทำนองที่ปรากฏในเพลง Scene Seven: I. The Dance of Eternity
ตัวอย่างที่ 12 แนวทำนอง Guitar Solo 2 เพลง Overture 1928 ห้องที่ 76-82

แนวทำนองช่วง Guitar Solo 2 เป็นการนำเสนอแนวทำนองด้วยแนวคิด Chromatic Note ที่สอดแทรกวัตถุดิบเชื่อมโยงกับแนวทำนองเพลง Scene Seven: I. The Dance of Eternity (ปรากฏในเพลง Overture 1928 เวลา 2.58 นาที และปรากฏในเพลง Scene Seven: I. The Dance of Eternity ช่วงเวลา 2.28 นาที) ตัวอย่างที่ 13 กรอบสี่เหลี่ยมห้องที่ 83 และ 85 ของช่วง Guitar Solo 2 แสดงวัตถุดิบที่เชื่อมโยงกันข้างต้น
ส่วนตัวอย่างที่ 14 แสดงแนวทำนองเพลง Scene Seven: I. The Dance of Eternity ที่เป็นวัตถุดิบเดียวกัน แนวทำนองจากกรอบสี่เหลี่ยมตัวอย่างที่ 13 ผสมผสาน Chromatic Note สังเกตโน้ตบนตำแหน่งสาย 5 มีทิศทางเคลื่อนที่ลงเริ่มจากโน้ต E-D#-D-C#-C-B-Bb ตามลำดับไปยังโน้ต A เป็นโน้ตตำแหน่งสายเปิดบนสาย 5 ส่วนแนวทำนองตรง Time Signature 7/8 มีเป้าหมายเคลื่อนที่ไปยังโน้ต A ตำแหน่งสายเปิดบนสาย 5 เช่นเดียวกันด้วยการใช้ Chromatic Note ส่วนใหญ่มีทิศทางเคลื่อนที่ลงเริ่มจากโน้ตบนสาย 6 ไปยังสาย 5 ตามลำดับ
ตัวอย่างที่ 13 แนวทำนอง Guitar Solo 2 เพลง Overture 1928 ห้องที่ 83-87

ตัวอย่างที่ 14 แนวทำนองเพลง Scene Seven: I. The Dance of Eternity ตรงช่วงเวลา 2.28 นาที

แนวทำนองช่วงท้ายเพลงตั้งแต่ห้องที่ 88-101 เป็นช่วง Outro ของเพลง Overture 1928 (ปรากฏเวลา 3.07 นาที) อาจกล่าวได้ว่าทำหน้าที่เป็นทั้ง Outro และทำหน้าที่เชื่อมเข้าไปสู่เพลง Scene Two: II. Strange Deja Vu ทั้งการดำเนินคอร์ดและแนวทำนองถูกนำมาเป็นวัตถุดิบที่สอดคล้องกันของทั้ง 2 เพลง จากตัวอย่างที่ 15 ตั้งแต่ห้องที่ 88-99 เป็นการดำเนินคอร์ดและแนวทำนองที่ปรากฏในเพลง Scene Two: II. Strange Deja Vu ช่วง Verse 2 (ปรากฏเวลา 1.13 นาที) ส่วนห้องที่ 100-101 ตรงกรอบสี่เหลี่ยมตัวอย่างที่ 15 แนวทำนองนี้เสมือนทำหน้าที่ทั้งจบเพลงและเกริ่นนำเชื่อมเข้าสู่ช่วง Verse 1 ของเพลงต่อไปซึ่งมีแนวทำนองเดียวกัน
หากพิจารณาความสัมพันธ์ของการดำเนินคอร์ดและแนวทำนอง พบว่ามีการใช้แนวคิด Power Chord รวมถึงแฝงโน้ตลำดับขั้นที่ #11 (หรือโน้ตลำดับขั้นที่ #4) ในแนวทำนองที่สัมพันธ์กับคอร์ด Ab(#11), F(#11), B(#11) จะเห็นความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาร่วมกับแนวทำนองร้องช่วง Verse 1 จากเพลง Scene Two: II. Strange Deja Vu ที่แฝงไปด้วยโน้ตนี้เช่นกัน ผมนำมาแสดงในตัวอย่างที่ 16 สังเกตตรงเครื่องหมาย *
ตัวอย่างที่ 15 ช่วง Outro เพลง Overture 1928 ห้องที่ 88-101

ตัวอย่างที่ 16 แนวทำนองเพลงช่วง Verse 1 เพลง Scene Two: II. Strange Deja Vu ห้องที่ 1-10

เมื่อพิจารณาภาพรวมเพลง Overture 1928 จากสาระข้างต้น (ผมสรุปสาระไว้ตามตารางที่ 1 ) จะเห็นได้ว่าประตูบานแรกที่พาเข้าสู่โลกของตัวละคร “นิโคลัส” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงบรรเลงเปิดอัลบั้ม Metropolis PT. 2: Scenes from a Memory ที่เน้นแสดงทักษะเชิงเทคนิคเครื่องมือเท่านั้น หากแต่เป็นภาพสะท้อนวิสัยทัศน์ในการแต่งและเรียบเรียงเพลงอันซับซ้อนอย่างมีชั้นเชิง เสมือนกำลังดูภาพยนตร์ใน “โรงละครแห่งความฝัน” ผ่านพิมพ์เขียวทางดนตรีที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต เพลงหยิบยืมวัตถุดิบทางดนตรีไม่ว่าจะเป็นแนวทำนอง การดำเนินคอร์ด ตลอดจน Riff จากเพลงอื่นนำมาจัดวางและหลอมรวมใหม่จนเกิดโครงสร้างใหม่ที่ทำหน้าที่มากกว่าบทนำ หากแต่เป็น“สารบัญทางดนตรี” ที่เชื่อมโยงเรื่องราวจากเพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper” ไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอัลบั้มนี้ไว้ได้อย่างแนบเนียนภายในเวลาเพียง 3 นาทีเศษ ด้วยเหตุนี้เพลง Overture 1928 จึงไม่เพียงทำหน้าที่เปิดอัลบั้ม หากยังเป็นผลงานตอกย้ำมาตรฐานสำคัญทางดนตรี Progressive Metal ที่ผสานโครงสร้างเชิงแนวคิด เรื่องราว และพลังทางดนตรีเข้าไว้ด้วยกันอย่างประณีต
สรุปสาระเพลง Overture 1928
สุดท้ายนี้ผมได้เข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากในเว็บไซต์ https://dreamtheater.net สรุปสาระเกี่ยวกับอัลบั้ม Metropolis PT. 2: Scenes from a Memory ได้ว่า บรรดาแฟนเพลงเคยร้องขอให้ทางวงได้สร้างภาคต่อของเพลง Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper” จากอัลบั้ม Images and Words มาก่อนแล้ว แต่ทางวงยังไม่สามารถทำได้และก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะสร้างภาคต่อด้วย ระหว่างการบันทึกเสียงอัลบั้ม Falling Into Infinity เมื่อปี ค.ศ.1997 ทางวงได้จัดทำเดโมที่มีความยาว 21 นาทีของ “Metropolis PT. 2: Scenes from a Memory” ขึ้นมาแต่ผลงานชิ้นนี้ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม ซึ่งเดโมดังกล่าวมีการอ้างอิงวัตถุดิบทางดนตรีมาจาก Metropolis-Part I: “The Miracle and the Sleeper” และมีโมทีฟที่ต่อมาปรากฏในอัลบั้ม Metropolis PT. 2: Scenes from a Memory โดยเฉพาะในส่วนของ Overture 1928, Strange Deja Vu, The Dance of Eternity และ One Last Time อย่างไรก็ดีเดโมนี้แตกต่างจากเวอร์ชันอัลบั้มเต็มอย่างมีนัยสำคัญหลายส่วน ลองฟังเดโมได้จากลิงก์ด้านล่างนี้ครับ
จากเดโมที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1997 สู่ผลงานที่ถูกขัดเกลาอย่างประณีตใน Metropolis Pt. 2: Scenes from a Memory สิ่งที่ Dream Theater ทำสำเร็จไม่ใช่เพียงการสร้างภาคต่อของบทเพลง หากแต่คือการแปลงแนวคิดและโมทีฟทางดนตรีให้กลายเป็นพิมพ์เขียวขนาดใหญ่และเพลง Overture 1928 ก็คือประตูบานแรกที่ไขรหัสมหากาพย์นั้นได้อย่างชัดเจน เมื่อรับรู้ที่มาของบริบทนี้แล้วการกลับไปฟังเพลงเปิดอัลบั้มนี้อีกครั้งอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะทุก Riff ทุก Motif และทุกการเปลี่ยนผ่านล้วนไม่ใช่เพียงเสียงดนตรี หากแต่เป็นร่องรอยของพิมพ์เขียวที่พวกเขา Dream Theater ตั้งใจวางไว้ค่อย ๆ หล่อหลอมขึ้นอย่างมีระบบ






