ช่วงนี้ผมหยิบอัลบั้มของ Miles Davis Quintet live at Plugged Nickel 1965 มาฟังบ่อย เลยอยากที่จะแนะนำให้ลองฟังกัน
Miles Davis Quintet ยุคนี้มีสมาชิกประกอบด้วย
Miles Davis ทรัมเป็ต
Tony Williams กลอง
Wayne shorter แซกโซโฟน
Herbie Hancock เปียโน
สำหรับคนที่สนใจเพลงแจ๊ส ทำไมถึงอยากให้ลองฟังอัลบั้มนี้ ลองอ่านบทความจากหนังสือประวัติของ Herbie Hancock ที่ผมแปลมาครับ
โทนี่เสนอว่า ” ผมมีไอเดีย สำหรับการแสดงที่ Plugged Nickel ที่จะมาถึง เรามาทดลองเล่นดนตรีแบบ แอนตี้ มิวสิคกัน ” โทนี่อยากให้พวกเราสัญญาว่า ในการแสดงที่ Plugged Nickel ครั้งนี้ ไม่ว่าพวกเราคนใดจะคาดหวังให้เล่นอะไร ให้เราเล่นในสิ่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ช่วงแรกที่ได้ยินโทนี่อธิบาย หลายคนอาจมองว่าโทนี่กำลังจะพยายามจะทำลายพลังของวงด้วยแนวคิดนี้ แต่สำหรับผมจริงๆ แล้ว เขาแค่ต้องการทำลายความสบายใจของพวกเรา ดึงพวกเราออกจากกรอบเดิมๆ และผลักดันขีดจำกัด ทั้งในฐานะนักดนตรีและในฐานะวงดนตรี
ตอนที่พวกเราเดินเข้าไปในคลับ ผมสังเกตเห็นว่ามีทีมงานกำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อบันทึกการแสดงของเราไว้แล้ว “โอ้ ให้ตายแล้ว” ผมพูดกับโทนี่ “นี่เราจะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ“ และนี่เราก็ไม่ได้บอกไมลส์เกี่ยวกับการทดลองนี้เลย ผมเลยกังวลว่าพวกเราจะออกมาไม่ดี แต่โทนี่ ผู้ไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น พูดว่า “แน่นอนอยู่แล้วทำไปเลย”
ก่อนเริ่มเซ็ตแรก เราแค่บอกเรื่องนี้กับรอนและเวย์น แต่ไม่บอกไมลส์ ทั้งสองคนพร้อมลุยกับเรา ดังนั้น ตั้งแต่ที่ไมลส์นับจังหวะเพลงแรก ผมก็เริ่มโฟกัสกับการเล่นในสิ่งที่ตรงข้ามกับความคาดหวัง ทุกครั้งที่เพลงกำลังจะถึงจุดพีค จุดที่ธรรมชาติของนักดนตรีคือดันมันขึ้นไปอีก ผมกลับลดมันลงด้วยโน้ตเงียบๆ แค่หนึ่งตัว โทนี่ก็ทำแบบเดียวกัน เขาเพิ่มความดังและความเข้มข้นของการเล่น แล้วแทนที่จะกระแทกกลองใหญ่ เขากลับแตะฉาบเบาๆ เราทำตรงข้ามด้วยเหมือนกัน อยู่ๆ ก็เพิ่มความเข้มข้นขึ้นในช่วงที่เพลงกำลังจะสงบลง
ผมนึกไม่ออกเลยว่ามันจะฟังออกมาดีหรือเปล่า แต่สิ่งนี้ทำให้เราต้องท้าทายความคิดและการตัดสินใจของเราเอง เรารู้ดีว่าเรากำลังใช้ผู้ชมเป็นหนูทดลองสำหรับการทดลองของเรา แต่นี่คือวิธีที่จะทำลายพฤติกรรมเดิมๆ ที่เราเคยชิน—ด้วยการทำลายโครงสร้าง แล้วค่อยหยิบชิ้นส่วนขึ้นมาประกอบใหม่
ทุกครั้งที่ผมมองออกไปยังผู้ชม ผมเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะสับสน พวกเขารู้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แต่ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร เลยแค่ดื่มค็อกเทลและสูบบุหรี่ต่อไป ส่วนพวกเราก็เล่นกันต่อ ในขณะที่เครื่องบันทึกทำงาน และรู้อะไรไหมหลังจากจบเซ็ต ไมลส์ไม่พูดถึงมันสักคำ เขารู้ดีกว่าใครว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น แต่เขาไม่ถามเรา และเราเองก็ไม่ได้บอกเขา เขาแค่เล่นไปตามนั้น ซึ่งไมลล์กับเวย์น ก็เล่นได้ยอดเยี่ยมมาก
สำหรับผม ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลัง “ตกปลา” อยู่ตลอดระหว่างการแสดง มีบางช่วงที่จับอะไรได้บ้าง แต่ไม่ได้โดดเด่นเหมือนไมส์หรือเวย์นเลย จริงๆ แล้ว หลังเล่นจบคืนแรก ซาวด์เอนจิเนียร์ ถามว่าพวกเราอยากฟังไหม ผมตอบไปว่า “ไม่มีทาง” ผมคิดว่ามันคงฟังดูเละเทะน่าดู แต่ผมคิดว่า อย่างน้อยเราก็ทำมันแล้ว เราได้สำรวจพื้นที่ใหม่ และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะก้าวต่อไปแล้ว
สิบเจ็ดปีต่อมา เมื่อ Columbia ปล่อยบางส่วนของการบันทึกเสียงในชื่อ Live at The Plugged Nicke lเพื่อนคนหนึ่งโทรมาถามว่าผมได้ฟังหรีอยัง ผมตอบว่ายังและก็คิดว่าไม่อยากฟังด้วย” เขาบอกว่าผมควรลองฟัง เพราะมันมีอะไรดีๆ อยู่ในนั้น แต่ผมก็ยังปฏิเสธอยู่ดี
ในที่สุด สองสามสัปดาห์หลังจากอัลบั้มออก ผมก็รวบรวมความกล้าฟังมัน มีอะไรเกิดขึ้นมากมายในเพลง และมันฟังดูแทบไม่เหมือนที่ผมจำได้เลย ฉันตกใจมาก ผมชอบมันจริงๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายว่าทำไมถึงชอบได้ ถ้าจะเรียกว่ามัน “ลึกซึ้ง” ก็ดูจะไม่ใช่ เพราะสำหรับผม คำว่า “ลึกซึ้ง” มักจะสื่อถึงอะไรที่ทั้งลึกและสง่างาม ซึ่งนี่ไม่ใช่เลย มันเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยความกล้า มันดิบ ถึงวันนี้ ทุกครั้งที่ผมฟังการบันทึกจาก Plugged Nickel ผมยังคงรู้สึกทึ่งกับพลังที่ดิบและความซื่อสัตย์ที่เต็มเปี่ยมของมัน