“ครูแดง” หรือ เตือนใจ ( กุญชร ณ อยุธยา ) ดีเทศน์ คือผู้หญิงเก่ง แกร่ง เป็นเด็กกิจกรรมตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษา กระทั่งเป็นนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำกิจกรรมออกค่ายอาสาพัฒนา สู่โครงการบัณฑิตอาสา ทำงานเป็นครูดอยสอนเด็กและผู้ใหญ่ชาวเขา ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นพื้นฐานในการสอน ใช้ภาษาไทยในการสอนเพื่อให้ชาวบ้านสื่อสารกับสังคม ต่อมา 6 ตุลา พ.ศ. 2519 เกิดวิกฤติ เธอถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” เป็นพวกล้มล้างระบบการปกครอง กระทั่งต้องออกจากป่า ลาออกจากครูดอยบ้านปางสา เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมแก่ตน ในเวลาต่อมาเธอกลับมาเป็นครูดอยบ้านปางสาในฐานะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ทำงานเป็นเลขานุการศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา (ศศช) แม่ฟ้าหลวง
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานโครงการหลวง เห็นผลงานสารนิพนธ์จึงเสด็จดูงานที่บ้านปางสาและกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตรผลงานใน พ.ศ.2522 กลายเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ในการทำงาน ต่อมาจึงได้รับรางวัลระดับนานาชาติ คือ รางวัล Global 500 Roll of Honour และ รางวัล Goldman Environmental Prize ถูกเชิญให้ศึกษาดูงานด้านการศึกษา, ชนพื้นเมือง, ด้านการพัฒนาชุมชนในต่างประเทศ เธอได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภา ,สมาชิกสภานิติบัญญัติ , กรรมการสิทธิมนุษยชนและยังคงทำงานตำแหน่งกรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนแขตภูเขาจนถึงปัจจุบัน
เดินทางตามหาความหมายของชีวิต
ฉันเป็นคนกรุงเทพ ในยุคสมัยที่เพิ่งจะมีไฟฟ้าใช้ ทีวีเป็นทีวีขาวดำต้องไปดูที่บ้านคุณครู ฐานะครอบครัวไม่ค่อยดี ต้องเดินเท้าไปโรงเรียน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ชีวิตวัยเด็กอยู่กับธรรมชาติ อยู่ในวัฒนธรรมที่มีทั้งคนไทยเชื้อสายจีน คนมุสลิม ที่มัสยิดตลาดพลู คุณตาคุณยาย คุณป้า ประกอบอาชีพทำขนมขาย มีขนมถ้วย ขนมน้ำดอกไม้ ขนมตะโก ขนมถั่วแปบ ขนมดอกสะโหน เป็นชีวิตที่อยู่ในวิถีไทยโดยไม่รู้สึกตัวเลยว่า ชีวิตอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่าง เราชื่นชมกัน ไม่รู้สึกว่าแปลกแยก เมื่อถึงสารทไทย (พิธีไหว้บรรพบุรุษ) ฉันก็เอาขนมให้เพื่อนคนจีน เมื่อถึงสารทจีนเพื่อนก็เอาขนมมาให้ฉัน เราแบ่งปันกัน เอื้อเฟื้อและรู้จักกัน เราถูกหล่อหลอมเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมโดยไม่รู้ว่านี่คือ ความงามของสังคมพหุวัฒนธรรม
ช่วงวัยเรียน ฉันเรียนโรงเรียนวัด โรงเรียนวัดนากปรก โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ เป็นเด็กกิจกรรม ทำกิจกรรมเยอะมาก ประกวดเขียนเรียงความ ประกวดมารยาท ถูกปลูกฝังความเป็นไทย เป็นประธานนักเรียน แต่ในช่วงปิดเทอมก็ต้องทำงานหาเงิน ตอนนั้นไปทำงานกับน้ำอบไทย ลูกสาวของเขาสอบเข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลายเป็นแรงบันดาลใจทำให้ฉันกวดวิชาเพื่อจะเข้าเรียนจุฬาลงกรณ์ เมื่อประกาศรายชื่อ ฉันก็สอบเข้าเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จริงๆ
นอกจากเป็นประธานนักเรียน นักเรียนรุ่นก็จะเก็บดอกไม้ ดอกมะลิ ดอกอะไรต่างๆ มาให้ เพราะหลังเลิกเรียนฉันสอนการบ้านให้กับเด็กในซอย บางครั้งก็จะเล่านิทาน ฉันจึงเป็นที่รักของน้องๆ เมื่อกลับบ้าน ฉันก็กวาดบ้าน ถูบ้าน โม่แป้งทำขนม สมัยก่อนเขาโม่แป้งด้วยโม่หินครก โม่ข้าวเป็นแป้งเพื่อนำมาทำขนม ชีวิตวัยเด็กจึงไม่ได้อยู่อย่างร่ำรวย เมื่อเรียนมหาวิทยาลัยก็ขึ้นรถเมล์ จากเคยเดินไปโรงเรียนขึ้นรถเมลเป็นครั้งแรก มีโอกาสนั่งเรือหางยาวเพราะบ้านอยู่ใกล้คลองหลวง ขึ้นท่าเรือปากคลองตลาดแล้วนั่งรถเมล์สาย 21 เพื่อเดินทางไปเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การเรียนมหาวิทยาลัย ฉันต้องปรับตัวเยอะมาก ฉันได้ยินเรื่องราวของค่ายอาสาพัฒนาชาวเขา ตั้งใจทำกิจกรรม ต้องการรู้จักคนที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย ฉันมีโอกาสเข้าค่ายอาสาพัฒนาชนบทจังหวัดแพร่ ค่ายอาสาพัฒนาชาวเขา ทั้งค่ายกลางปี เดือนตุลาคม ค่ายปลายปี ออกค่ายกันเป็นเดือน วันหยุดก็ไปเยี่ยมหมู่บ้านที่เราออกค่าย สมัยก่อน การเดินทางไปหมู่บ้านชาวเขาต้องเดินเท้า ใช้เวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเดินเท้าขึ้นดอย เหนื่อยมาก ตอนเดินทางรู้สึกว่า ไม่อยากจะแบกอะไรไปด้วย แต่เมื่อเดินทางถึงจุดหมาย ฉันมีความสุขมาก เพราะอยู่ในบรรยากาศของธรรมชาติ อยู่ริมลำห้วย ลองนึกถึงภาพคนกรุงฯ ที่ไม่เคยเห็นผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ยามเช้าแสงอาทิตย์ก็ส่องพาดผืนป่าเป็นสีทอง สวยงาม
ฉันเป็นคนรักธรรมชาติ ใฝ่ธรรมะ ตั้งแต่เด็กอยู่กับยาย ท่านเป็นชี ยายชีก็จะพาสวดมนตร์แปล เสียงสวมนต์แปลของยายชีไพเราะมาก ทำให้ฉันสนใจธรรมะตั้งแต่เด็ก ในช่วงเรียนชั้น ป.3 วันเสาร์-อาทิตย์ ฉันจะไปวิปัสสนากับคุณยายชี ถูกสอนด้วยธรรมะ ช่วงวันหนุ่ม-สาว เป็นนักศึกษาจุฬาลงกรณ์ก็เข้าชมรมพุทธศาสน์และประเพณี มีโอกาสศึกษาธรรมะของท่านพุทธทาส ท่านก็สอนว่า ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง เราทำความดีต้องไม่คิดว่า เป็นการทำความดีของตัวเรา แต่ทำหน้าที่โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวเรากำลังทำความดี เป็นกรรมลอย เราอยู่ร่วมกันในฐานะเพื่อมนุษย์ เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ธรรมะเริ่มหล่อหลอม เวลาส่วนใหญ่ก็จะอยู่ชมรมพุทธศาสน์และประเพณี ค่ายอาสาพัฒนาชาวเขา มีเวลาว่าหลังจากนั้นก็จะเข้าห้องสมุด
เมื่อเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 เริ่มคิดถึงอนาคต เราออกค่ายอาสาพัฒนาชาวเขา อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับชาวลีซู บ้านลุ่ม ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ชาวบ้านสร้างกระท่อม แล้วก็แบ่งกลุ่มนักศึกษา กลุ่มสอนหนังสือเด็ก กลุ่มออกงานประชาสัมพันธ์ในหมู่บ้าน กลุ่มออกพื้นที่บ้านบริวาร สมัยก่อนใช้ชื่อว่า บ้านกระเหรี่ยง บ้านแม้ว บ้านมูเซอ ที่นั่นเมื่อตื่นเช้าคนที่เข้าหมู่บ้านบริวารก็จะห่อข้าว เดินไปในหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งสมัยก่อน ทางเดินร่มรื่นและมีดอกไม้ป่าที่สวยมาก นับได้เป็น 10-20 ชนิด ซึ่งสมัยนี้หาไม่ได้อีกแล้ว
ฉันเลือกเรียนสังคมวิทยา มนุษย์วิทยา ซึ่งทำให้เราเห็นคุณค่าของวิถีชีวิตคนที่อยู่กับธรรมชาติ มีองค์ความรู้ มีภูมิปัญญาที่อยู่กับธรรมชาติ ที่คณะเมื่อก่อนเราเรียนวิชาทั่วไป กฎหมาย เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ซึ่งเราก็เลือกเรียนสังคมวิทยาและมนุษย์วิทยา อาจารย์สอนก็เป็นอาจารย์ชั้นเลิศ ศ.ดร. พัทยา สายหู รัฐศาสตร์จุฬา ,ศ.ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง , ศ.ดร.วิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ ทำให้ฉันรักเคารพธรรมชาติและเข้าใจระบบนิเวศน์เป็นอย่างดี ฉันไม่ชอบอะไรที่อยู่ในกรอบ ไม่ชอบชีวิตข้าราชการ ชอบคิดอย่างอิสระ ไม่อยากเป็นนักธุรกิจเพราะไม่ได้อยากร่ำรวย
ตอนนั้น รุ่นพี่สมัครเป็นบัณฑิตอาสาของ ดร.ป๋วย อึ่งภากรณ์ เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ฉันตกลงใจที่จะเป็นบัณฑิตอาสาสมัคร ทำงานอาสาสมัคร โชคดีที่ครอบครัวสนับสนุน ตอนเป็นนักศึกษา กลับถึงบ้านก็ค่ำเพราะเป็นเด็กกิจกรรม ปิดเทอมก็ออกค่าย แต่ครอบครัวก็เข้าใจว่า ลูกหลานตั้งใจทำดีต่อสังคม ไม่คัดค้าน ไม่หวงหรือหน่วงเหนี่ยว ตอนสอบบัณฑิตอาสาก็เกือบจะสอบไม่ได้เพราะเป็นคนชอบฟังมากกว่าชอบพูด เมื่อสอบได้ฉันก็เลือกเป็นบัณฑิตอาสา ลงพื้นที่บ้านปางสา ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย เป็นจุดเริ่มต้นของการจดบันทึกอันเป็นที่มาของหนังสือ “แม่จันสายน้ำที่ผันเปลี่ยน”
ฉันชอบเขียนเรียงความ เขียนจดหมายถึงอาจารย์ที่ปรึกษา คือ อาจารย์เฉลิมศรี ธรรมบุตร อยู่ตลอด เดือน กรกฎาคม 2517 ฉันเริ่มทำสาระนิพนธ์ เขียนเรื่องราวชีวิตชุมชน วิถีชาวบ้าน ฉันเขียนเรื่องราวของชนเผ่าลีซูกับจีนฮ่อ ที่บ้านปางสา นักเรียนก็รักการเรียน กรรมการหมู่บ้านก็มาเรียน ฉันส่งเสริมชาวบ้านเรื่องการขุดบ่อเลี้ยงปลาโดยมีเจ้าหน้าที่ประมงจังหวัดพะเยาเป็นที่ปรึกษา ฉันพาชาวบ้านศึกษาดูงานที่ประมงพะเยา ชาวบ้านเริ่มเลี้ยงปลา เริ่มปลูกถั่วเหลืองบนนาข้าวหลังฤดูเก็บเกี่ยว หลังหมดโครงการบัณฑิตอาสา ฉันขออยู่ทำงานเป็นบัณฑิตอาสาอีก 3 ปี ซึ่งที่นั่นมีเยาวชนอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนที่ต้องการรับใช้สังคม เหมือนวงดนตรีคาราวาน เป็นเพลงในดวงใจ คนกับควาย เปิบข้าว และมีหนังสือเล่มหนึ่ง คือ ฉันกำลังตามหาส่วนที่หายไป เป็นเรื่องของหนอนที่ไต่ขึ้นไปข้างบนสุด แล้วก็มักจะถามตนเองว่า ชีวิตมีเท่านี้หรือ เกิดมาก็เรียนหนังสือ ทำงาน แต่งงาน มีบ้าน เลี้ยงลูกแล้วก็ตาย หรือชีวิตต้องมีความหมาย?
“ความหมาย” คือ “ชีวิต” เราเป็นครูดอยคนแรกของลุ่มน้ำแม่จัน บทหนึ่งในเรื่องราวของหนังสือเรียกฉันว่า ครูแดงแห่งบ้านปางสา ทำให้ผู้คนรู้จักฉันในนาม “ครูแดง” มาจนถึงทุกวันนี้ โย่ง สุจิตรา สุดเดียวไกร เพื่อนรุ่นน้องคณะอักษรศาสตร์จุฬา เป็นบุคคลที่มีคุณูปการกับฉันมาก เขาทำงานเป็นรองผู้อำนวยการมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เขามากับรสนา โตสิตระกูล ชวนฉันให้เป็นปาฐกในงานปาฐกถาของมูลนิธิโกมลคีมทอง
ตอนนั้น ฉันอยู่ในหมู่บ้านนาน 10 ปี พ.ศ.2527 ได้รับเชิญให้ปาฐกถาในหัวข้อ “ทำงานในหมู่บ้านด้วยหัวใจที่เบิกบาน” ทำหนังสือเล่มเล็กๆ เนื้อหา 3 บท ประกอบการปาฐกถา โย่ง สุจิตรา สุดเดียวไกร รู้จัก NGO เป็นอย่างดี ทำให้ฉันได้เรียนรู้การทำงาน NGO ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “ภาคประชาสังคม” วันปาฐกถา ท่าน สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นประธานพิธี งานจัดขึ้นที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาระของปาฐกถา คือ เราทำงานด้วยจิตว่าง มิใช่ทำงานด้วยตัวตน มิใช่ว่า ฉันเสียสละ เป็นคนดี คนเก่ง ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ด้วยความสุข ทำงานด้วยใจที่เบิกบาน
ออกจากป่าเพื่อต่อสู้กับข้อหา “เป็นคอมมิวนิสต์”
ช่วงเวลานั้น เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คือเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ.2519 ฉันสอนเด็ก สอนการดำเนินชีวิต เปิดเพลงคาราวานให้เขาฟัง แต่ตอนนั้น นิสิตนักศึกษาถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นพวกล้มล้างระบบการปกครอง ฉันถูกคนใส่ความว่าเป็น คอมมิวนิสต์ ศูนย์พัฒนาชาวเขาจังหวัดเชียงรายขอให้ฉันออกจากพื้นที่ ตอนนั้นฉันเสียใจมาก ฉันไม่เคยคิดร้ายต่อบ้านเมือง กตัญญูต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยหัวใจบริสุทธ์ ในพื้นที่ที่ต้องเดินเท้า 4 ชั่วโมง พื้นที่อยู่อย่างธรรมชาติ ต้องอาบน้ำ ซักผ้า ในสายน้ำแม่จัน ไฟฟ้าไม่มีต้องใช้เทียน หรือตะเกียงเจ้าพายุที่นักศึกษาเขามาจุด เพื่อให้แสงสว่าง เราไม่ได้ทิ้งรอยเท้าที่สกปรกเป็นผลเสียต่อโลก เราใช้ชีวิตธรรมดา ธรรมชาติ ชาวบ้านปลูกข้าวในนาในไร่ ปลูกผักในฤดูหนาว เก็บผักตามลำห้วย หาหน่อไม้ ปลีกล้วยมากิน แบบนี้เรียกว่า “วิถีชีวิต” แล้วจะเรียกเราว่า “คอมมิวนิสต์” ได้อย่างไร ?
ท่านผู้มีพระคุณ คือ ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง อธิบดีกรมสามัญศึกษา โดยมี ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ ผู้อำนวยการกองศึกษาผู้ใหญ่ อาจารย์โกวิท ทำเรื่องปรัชญาคิดเป็น ซึ่งเป็นปรัชญาการศึกษาผู้ใหญ่ทั่วโลกยอมรับ เช่น เคารพธรรมชาติ อ่อนน้อมถ่อมตน เชื่อผีน้ำ ผีห้วย เจ้าป่าเจ้าเขา ซึ่งทำให้มนุษย์ปกปักษ์รักษาธรรมชาติ มนุษย์ไม่ใช่เจ้าของธรรมชาติ แต่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราจึงอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ เมื่อทางการขอให้ออกจากหมู่บ้าน ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ท่านก็เห็นว่า ฉันสอนนักเรียนและชาวบ้านด้วยหลักสูตรซึ่งใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นพื้นฐานและใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอนเพื่อให้ชาวบ้านสามารถสื่อสารกับสังคมได้ จึงให้ฉันเป็นลูกจ้างโครงการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ
หลังจากนั้น ฉันก็พัฒนาการเรียน พัฒนาหลักสูตร แล้วกลับมาอยู่บ้านปางสา กลับมาอยู่ที่เดิมแต่เปลี่ยนสถานภาพจากบัณฑิตอาสาเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ กองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา (ศศช) ซึ่งในยุคหลัง เทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระกรุณาธิคุณอย่างยิ่งใหญ่กับชาวดอย ที่ชาวดอยเห็นว่า แม่ฟ้าหลวง ผู้ยิ่งใหญ่ที่เสด็จลงมาจากฟ้า ซึ่งสมเด็จย่าท่านเสด็จโดยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ไปยังสถานที่ต่างๆ โครงการจึงใช้คำว่า ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา (ศศช) แม่ฟ้าหลวง เปลี่ยนสถานภาพเป็นคณะเลขานุการ เป็นทีมที่ได้รับทุนจากสถานทูตอเมริกา หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) พ.ศ.2527 ตอนนั้น ฉันต้องเดินทางไปในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน ลำปาง มองเห็นชุมชนชาวเขาในแง่มุมที่กว้างขึ้นและได้ร่วมมือกับภาคราชการ
นับเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ทำให้มองเห็นว่า การศึกษาต้องมาจากภูมิปัญญาชุมชน มิใช่เอาสิ่งข้างนอกไปครอบชาวบ้าน เขาเรียกว่า เป็นการศึกษาโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ต่อมาโครงการก็ได้รับรางวัลจากสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก้ เพราใช้คำว่า “อาศรม” ไม่ใช่คำว่า “โรงเรียน” พ.ศ.2527 โครงการใกล้จบ พวกเราก่อตั้งองค์กรที่หนุ่มสาวสามารถจะสืบทอดฝันของตนเองได้สำเร็จ จึงปรึกษา ท่าน ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ศ.กิตติคุณ อำไพสุจริตกุล คณะคุรุศาสตร์จุฬา ท่านทำหลักสูตรสอนนักเรียนชาวเขา มีหนังสือ 5 เล่ม ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา เพราะตอนที่ศึกษาก็ใช้แนวทางของ ศ.ดร.กิตติคุณ อำไพสุจริตกุล สำหรับเด็กตั้งแต่ 2517 และพัฒนาหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ
การศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ คือ รู้ภาษาไทย สอนคณิตศาสตร์ให้คิดเลขได้ วิชาที่เกี่ยวกับสถานการณ์ชุมชน เช่น ชาวบ้านท้องเสียกันทั้งหมู่บ้าน เราก็เอาคำหลักว่า “ท้องเสีย” แล้วเอาหลักวิชาการมาว่า “ท้องเสีย” เกิดจากอะไร กินอาหารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน ด้วยหลักการแพทย์ หลักวิชาการ หลักชุมชนเขาคิดกันอย่างไร แล้วนำไปแก้ปัญหา เราเรียกว่า การศึกษาแบบคิดเป็น เมื่อจะตั้งมูลนิธิ ท่านอาจารย์ ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง กรุณาเป็นประธาน มีผู้อำนวยการส่วนการศึกษาเป็นกรรมการ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเป็นกรรมการ เนื่องจากมูลนิธิประกอบด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ การขอจดทะเบียนจึงเป็นไปอย่างสะดวก มูลนิธิชื่อว่า “มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา” หรือ พชภ. เริ่มรับเจ้าหน้าที่ชุดแรก พ.ศ.2529 แต่ก่อนหน้านั้น ต้องมีการสำรวจชุมชนชายแดนไทยพม่า แม่น้ำแม่จัน แม่สลอง ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องเดินเท้า ออกเดินทางตั้งแต่เช้าไปถึงค่ำ เวลาเราหิวน้ำเราก็เก็บผลไม้ที่ร่วงหล่นมาทาน เช่น มะขามป้อม เราเลือกหมู่บ้านจำนวน 10 หมู่บ้าน เพื่อเข้าร่วมโครงการ ส่วนอีก 10 หมู่บ้านที่ไม่ร่วมโครงการเพราะไม่มั่นใจว่าจะมีการตั้งถิ่นฐานถาวร
หนังสือแม่จันสายน้ำที่ผันเปลี่ยน สุจิตรา สุดเดียวไกร เป็นบรรณาธิการ ก็จะครบ 40 ปี หนังสือแม่จันสายน้ำที่ผันเปลี่ยน ซึ่ง ผู้ที่เข้ามาสมัครมูลนิธิ พชภ. ผุ้ที่จบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตร มหาวิทยาลัยศิลปากร ทุกคนจะถือหนังสือแม่จันมาหมด เพราะเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจ อยากมาทำงานเพื่อให้ชนบทมีคุรภาพชีวิตที่ดี ยกระดับปัญญาชุมชน ให้เป็นที่เชื่อถือ เป็นที่ยอมรับ หลังจากนั้น เราก็อบรมเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจการทำงานกับชุมชุน เอาชุมชนเป็นหลัก Community-based Education แล้วก็มีผู้ช่วยครู เจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นครู มีเยาวชนในหมู่บ้านที่รู้ภาษาไทยเป็นครู ชุดแรกมีเจ้าหน้าที่จำนวน 22 คน ได้รับทุนจากกองทุนพัฒนาท้องถิ่นไทยแคนนาดา ซึ่งท่าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน คุณเอนก นาคะบุตร บุตรเป็นเลขาธิการ เราได้ทุนทำงาน 3 ปี
เราเน้นการส่งเสริมพี่น้องชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อาข่า ลีซู ลาหู่ ฯลฯ ถือว่าเป็นคนต้นน้ำ อยู่ป่าต้นน้ำ จะต้องรักษาป่าต้นน้ำ ทำการเกษตรที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ คุณหญิงอัมพร มีศุข เป็นผู้มีพระคุณ ท่านชวนฉันไปประชุมเรื่องผู้หญิงกับสิ่งแวดล้อมที่กรุงเทพฯ เป็นการประชุมในระดับเอเชียแปซิฟิก ท่านเห็นฉันสนใจและทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อมโดยตรง จึงให้ฉันเดินทางไปประชุมเรื่องผู้หญิงกับสิ่งแวดล้อมที่ไมอามี รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ฉันมีโอกาสนำเสนอผลงาน 5 นาที เรื่องงานที่ฉันกำลังทำอยู่ ทำให้ได้รับรางวัลขององค์การสหประชาชาติ Global 500 Roll of Honour รับรางวัลที่ริโอเดจาเนโร บลาซิล หลังจากนั้น ฉันก็กลายเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก สื่อมวลชนโทรมาขอสัมภาษณ์ข้ามทวีป รายการทีวีชวนมาออกรายการทีวี เช่น รายการของ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานโครงการหลวง ท่านเห็นผลงานสารนิพนธ์ของฉัน ท่านเสด็จดูงานที่บ้านปางสา แล้วท่านก็กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทอดพระเนตรผลงาน พ.ศ.2522 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมวงศานุวงศ์ 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ,สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ , สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จพระราชดำเนินมายังบ้านปางสา ทรงฟังการรายงายด้วยวาจา เยี่ยมชมหมู่บ้าน เยี่ยมบ้านพ่อเฒ่าผู้นำทางประเพณี เสวยน้ำชา เสวยกล้วย ที่ชาวบ้านถวาย เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงเรียน พระราชทานเงินเพื่อปรับปรุงโรงเรียนอาคารไม้ไผ่ พ.ศ.2523 พ.ศ.2523 ท่านก็เสด็จพระราชดำเนิน รวม 3 ครั้ง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
หลังจากฉันได้รับรางวัล Global 500 Roll of Honour ทำให้ฉันได้รับเชิญให้ไปดูงานด้านการศึกษา ชนพื้นเมือง ด้านการพัฒนาชุมชน ด้านการเกษตร ทุกทวีปทั่วโลกกว่า 60 ประเทศ ฉันก็ได้รับรางวัล Goldman Environmental Prize ทำให้ฉันเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติและมีโอกาสศึกษาดูงานในต่างประเทศอีกมากมาย
บทบาทนักการเมืองตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา
ฉันเริ่มสมัครลงรับเลือกตั้งครั้งแรก พ.ศ.2540 ประสบการณ์ดูงานทั่วโลกทำให้เราสามารถตั้งกระทู้ถาม หรือตรวจสอบข้อร้องเรียนของประชาชน ครั้งแรกเป็นเรื่องเขื่อนปากมูล โรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอกหินกรูด การสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง ซึ่งต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ทำให้มีเครือข่ายพี่น้องที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อสิทธิชุมชน สิทธิที่จะมีสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่ พ.ศ. 2543-25249 ฉันคิดว่า ฉันได้ทำประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลและยังรักษาสัมพันธ์ภาพของพี่น้องประชาชนจนถึงทุกวันนี้
พี่น้องชาวเขาเผ่าต่างๆ ยุคแรก รัฐบาลใช้นโยบายสงเคราะห์คนถิ่นทุรกันดาร ตั้งแต่ พ.ศ.2499 จากนั้นเป็นเรื่อง การตั้งส่วนราชการสงเคราะห์ชาวเขา มีการสำรวจประชากรชาวเขา สมัยก่อน การได้รับการรับรองสัญชาติไม่ใช่เรื่องยาก ต่อมามีการอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาสู่ประเทศไทยมากขึ้น จึงมีมติคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง มีกฎหมายสัญชาติ ตอนที่ฉันดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีโอกาสเสนอร่าง พระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 , ร่าง พระราชบัญญัติ สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาบุคคลผู้ถูกถอนสัญชาติในประเด็นความมั่นคง คนอยู่ในประเทศไทยมานาน ตกสำรวจทางทะเบียนและยังไม่ได้สัญชาติไทย ทั้งที่เป็นชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
บุคคลอีกกลุ่ม คือ บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย มีภูมิลำเนาในประเทศไทยนาน 50-60 ปี จะต้องเข้าสู่อีกช่องทางคือ การแปลงสัญชาติ เช่น ผู้เฒ่ามีลูกหลานเป็นคนไทย กลมกลืนกับคนไทย กระบวนการแปลงสัญชาติใช้เวลานานมาก เพราะต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ 6 หน่วยงาน เช่น การตรวจสอบเรื่องประวัติการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ประวัติอาชาญากรรม ฯลฯ การเข้ามาเกี่ยวข้องหลายหน่วยงานตาม พ.ร.บ.สัญชาติ กระทรวงมหาดไทยหรือกรมการปกครอง ประชุมได้ปีละ 1-2 ครั้ง ทำให้คนที่จะเข้าสู่กระบวนการแปลงสัญชาติ ใช้เวลานาน 10-20 ปี
มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ) เราได้ทุนจาก สสส. ตั้งแต่ปี 2555 เป็นเวลา 13 ปี เราขับเคลื่อนงานเรื่องของผู้เฒ่า สำหรับเด็กเยาวชนสามารถทำความรู้ความเข้าใจเรื่อกฎหมายได้ แต่ผู้เฒ่าช่วยตนเองไม่ได้ สำหรับผู้เฒ่าที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยมานาน การแปลงสัญชาติมีข้อจำกัด ต้องมีเกณฑ์รายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาท และต้องเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี ต้องพูดภาษาไทยภาคกลางได้ ต้องร้องเพลงชาติไทยได้ เพลงสรรเสริญพระบารมีได้ ต้องได้รับการตรวจสอบความประพฤติจาก 6 หน่วยงาน ใช้เวลานานมาก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ท่านเห็นชอบกับการไขปัญหากับผู้เฒ่าที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชน แนวทางประกอบการใช้ดุลพินิจของรัฐมนตรี โดยสมัยท่านฉัตรชัย พรหมเลิศ ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ท่านมีหนังสือเวียนตามคำสั่งของท่ารัฐมนตรี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ให้ยกเลิกกฎเกณฑ์อันเป็นอุปสรรคในการได้สัญชาติของผู้เฒ่า ในกระบวนการแปลงสัญชาติ
ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ.2562 ผู้เฒ่าจึงเข้าถึงสิทธิกระบวนการแปลงสัญชาติได้ เราติดตามกระบวนการเริ่มตั้งแต่ยื่นคำร้อง โดยผู้ใหญ่บ้านรับรอง นายอำเภอรับรอง ส่งเรื่องมาถึงจังหวัด จังหวัดจัดการประชุม สังเกตพฤติกรรม ตรวจสอบความประพฤติ เมื่อจังหวัดอนุมัติก็ส่งมาที่กรมการปกครอง ใช้วเลา 2 ปี 14 ขั้นตอน หลังจากนั้น เป็นไปตามระบบเดิม แต่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องก็ยังไม่อนุมัติ ดังนั้น ในปีนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สนับสนุนทุนเพิ่มอีกหนึ่งปีครึ่ง หวังว่า รัฐบาลจะเข้าใจและเห็นชอบการปรับปรุงกระบวนการแปลงสัญชาติให้รวดเร็ว กระชับ ทั้งหลักเกณฑ์ แนวทางประกอบดุลพินิจ
สำหรับผู้เฒ่าที่แปลงสัญชาติ เดิมทีหลักฐานการมีภูมิลำเนาในประเทศไทยต้องได้ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร และใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ท่านมีชัย ฤชุพันธ์ ทำงานเป็นประธานคณะทำงาน กฤษฎีกา แก้ปัญหาเรื่องสัญชาติ ท่านตอบคำถามกรมการปกครอง ตั้งแต่ 2564 ว่า หลักฐานคือ การมีชื่ออยู่ในทะเบียนสำรวจซึ่งทางราชการออกให้ ไม่จำต้องได้ใบสำคัญต่างด้าวหรือถิ่นถาวร เพราะเรื่องนี้เป็นอุปสรรคต่อผู้เฒ่า
ตามมติ ครม. เป็นเรื่องที่จะต้องขับเคลื่อน แม้จะมีข้อความคืนหน้าแต่ก็มีปัญหาอุปสรรค ประเด็นปัญหาที่ต้องแก้ไขจึงอยู่ที่ ประเด็น 1.ดุลยพินิจ ถิ่นที่อยู่การมีภูมิลำเนาในประเทศไทย ประเด็นที่ 2.กระบวนการแปลงสัญชาติจะต้องรวดเร็ว กระชับ เหมือนมติ ครม.29 ตุลา 2567 จากผู้ที่อยู่นาน ได้รับการจัดทำประวัติไว้แล้วจะได้ใบสำคัญ ที่อยู่ประจำคนต่างด้าวภายใน 5 วัน แต่ว่าผู้ขอสัญชาติต้องมีเอกสารตรงกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งตามติ ครม. คนที่อยู่มานานซึ่งได้ทำการสำรวจประมาณ 3.8 แสนคน และลูกหลานของเขาอีก 1 แสนกว่าคน รวมแล้ว 4.8 แสน แต่บุคคลที่เข้าเกณฑ์มีคุณสมบัติมีจำนวนไม่ถึงครึ่ง
สำหรับผู้ที่อยู่มานานจนกลมกลืนกับคนไทย โดยหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ร่วมลงนามรับรอง ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 ข้อที่ 15 คือ มนุษย์เกิดมาต้องมีสัญชาติ แต่ว่า ประเทศใดจะเป็นประเทศที่รับรองสัญชาติของมนุษย์คนนั้น กลุ่มคนที่มูลนิธิพัฒนาชุมชนเขตภูเขาดำเนินการคือ กลุ่มคนที่อยู่ในเมืองไทยมานาน กลมกลืนกับคนไทย มีลูกหลายเป็นคนสัญชาติไทย ทำประโยชน์ให้เมืองไทย คนเหล่านี้ ควรได้รับการรับรองสัญชาติ มิเช่นนั้น เขาจะไม่ได้รับรองให้มีสถานะทางกฎหมาย หรือ บางท่านอาจคิดว่า คุณมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้ว ได้รับอนุญาตให้อยู่ถาวรแล้ว ทำไมต้องมาใช้สิทธิสวัสดิการของเมืองไทย เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ แต่ท่านเหล่านี้ ควรจะได้สิทธิเหล่านั้นเพราะบางท่านอยู่เมืองไทยนานกว่า 40 ปี เมื่อฉันเดินทางไปที่ไหน ผู้นำชุมชน ชาวบ้านก็จะถาม ครูเมื่อไหร่ผู้เฒ่าจะได้สัญชาติ ?
สำหรับผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในช่วงหลังการรัฐประหารเมียนมาร์เป็นบุคคลอีกกลุ่ม เมื่อถึงเวลาเ ขาจะต้องกลับภูมิลำเนา เมื่อเมียนมาร์สงบเพราะประเทศไทยไม่สามารถรับคนเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เราไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูคนเหล่านี้ ขณะที่ประเทศเมียนมาร์ มีทรัพยากรมากมาย รัฐบาลเมียนมาร์ควรจะรับประชาชนของตนกลับประเทศ
บทบาทในเครือข่ายภาคประชาสังคม
พ.ศ. 2543-2549 ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา เรามีประสบการทำงานกับเครือข่ายในจังหวัดเชียงรายจึงเป็นที่ยอมรับ ชาวเชียงรายจึงให้กำลังใจและตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งตอนนั้น เป็นการเลือกตั้งวุฒิสภาครั้งแรกในประเทศไทย มีเครือข่ายประเทศไทยในจังหวัดเชียงรายช่วยเหลือ เช่น ติดโปสเตอร์ในร้านค้า ร้านอาหาร หาเสียงในตลาด ชุมชน ก็จะได้รับการตอบรับอย่างดี ฉันลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาได้คะแนนลำดับที่ 3 แต่ลำดับที่ 1 และที่ 2 ทำผิดฎหมายเลือกตั้ง คณะกรรมการเลือกตั้งจึงประกาศรายชื่อของฉันซึ่งได้คะแนนเป็นลำดับ 3 เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงราย เป็นบรรยากาศที่น่าภาคภมิใจ เพราะเป็นคะแนนบริสุทธิ์ไม่มีการซื้อเสียง เป็นการเลือกตั้งด้วยความศรัทธาจากประชาชนจริงๆ
สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งรุ่นแรก เป็นคนจากภาคประชาสังคม เช่น ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ , เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง , สมเกียรติ อ่อนวิมล ฯลฯ เราทำงานเป็นทีมเวิร์ค ฉันทำงานส่วนของกรรมธิการ การมีส่วนร่วมของประชาชน ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นประธาน ฉันเป็นกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม ท่านพนัส ทัศนียานนท์ เป็นประธาน เราได้ทำหน้าที่ตรวจสอบ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอกและบ้านกรูด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, โครงการเขื่อนปากมูล , โรงไฟฟ้าถ่านหินจะนะ เราทำหน้าอย่างสุจริตใจ อย่างเข้มแข็ง ทำหน้าที่ในรัฐสภา ตั้งกระทู้ถามเรื่อง ท่าเรือมารีน่าที่เชื่อมต่อกับเกาะยาวในจังหวัดพังงาซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ หญ้าทะเล พะยูน การเดินทางสนับสนุนเครือข่ายต่างๆ , การใช้ตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภาประดันตัวชาวบ้านที่ถูกละเมิดสิทธิ์ ซึ่งช่วงเวลา 6 ปีที่ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภา
เมื่อมีการปฏิวัติ ฉันรับตำแหน่ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็มีโอกาสเสนอร่าง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ร.บ.ทะเบียนราษฎร ทำให้มีการพัฒนาสิทธิทางกฎหมายของคนที่ควรจะได้สัญชาติไทย เป็นความประทับใจ และมีเครือข่ายกับพี่น้องประชาชนจนกระทั่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รุ่นที่ 3 โดยในช่วงที่ทำงานเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน มีการตรวจสอบเรื่องร้องเรียน หลายแห่ง โดยเฉพาะ เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย ที่อำเภอ เชียงของ เชียงแสน แม่สาย ถือว่าเป็นการทำงานที่เชื่อมโยงกับประชาสังคม มีหลักวิชาการ มีนักวิชาการเข้ามาเสริม รวมถึง การทำงานร่วมกับเสื่อมวลชนก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ
ตำแหน่งวุฒิสภาที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ได้รับการยอมรับจากสังคมมาก เพราะเรามาจากการเลือกตั้ง การตั้งกระทู้ถาม การเสนอตั้งกรรมการวิสามัญในประเด็นที่แหลมคม เร่งด่วน เช่น กรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาเรื่อง สถานทางกฎหมายและแนวทางแก้ไข โดยเฉพาะการทำงานภาคประชาสังคมและภาควิชาการ สมาชิกวุฒิสภาจะต้องมีฐานยึดโยงกับประชาชน และภาคส่วนต่างๆ ไม่ใช่ทำงานโดยระบบท๊อปดาว หรือ การสั่งการจากผู้บริหาร เรื่องสิทธิชุมชน สิทธิทำกิน สิทธิของพี่น้องชาวเล ก็ได้รับการแก้ไข แต่ในส่วน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็เป็นการนำหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กติการะหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี เช่น กติกาว่าด้วยการสิทธิความเป็นพลเมือง สิทธิทางการเมือง อนุสัญญาสิทธิเด็ก การอุ้มหาย การซ้อมผู้ต้องหา ทำให้รัฐาบาลประเทศไทย รวมถึงสิทธิความหลากหลายทางเพศ ก็เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ได้ทำหน้าที่กับภาคีเครือข่ายต่างๆ ทั้งที่เป็นเครือข่ายในประเทศและต่างประเทศ หรือปัญหาในปัจจุบัน เช่น ปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง
ประเด็นสิทธิมนุษยชน คือ การเรียกร้อง การเรียกร้องก็ คือ การไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เราจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเรียกร้องสิทธิก็จะต้องทำหน้าที่ ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้ดี เป็นการเรียกร้องด้วยหลักฐาน เหตุผล ด้วยหลักวิชาการ การเปิดใจกว้าง เห็นต่างได้ แต่ต้องมีเป้าหมายเดียวกัน เช่น กระบวนการ P-move หรือ กระบวนการสมัชชาคนจน ก็ถือเป็นกระบวนการภาคประชาสังคมที่ทำให้ภาคประชาชนมีอำนาจต่องรองกับภาครัฐ
สมัชชาคนจน เป็นกระบวนการภาคประชาสังคมยุคแรก วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ และผู้นำ เช่น แม่สมปอง เวียงจันทร์ ยุคแรกก็คือเรื่องของเขื่อนปากมูลในที่ดินเกษตรกร เมื่อคุณวนิดา เสียชีวิต สมัชชาคนจนก็แผ่วลง แต่ก็มีสมัชชาคนจนเพี่อความเป็นธรรม หรือ P-move ขึ้นมาแทน สมัชชาสามารถเจรจาต่อรองในประเด็นต่างๆกับรัฐบาลได้ด้วยหลักวิชาการ หลักสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน ซึ่งฉันเห็นว่า ประเทศไทยมีการถ่วงดุลอำนาจได้พอสมควร แต่พรรคการเมืองก็ไม่ให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน ตัวอย่าง เรื่องของสารพิษในแม่น้ำที่กระทบต่อชาวเชียงใหม่ เชียงราย ประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน รัฐบาลยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเจรระหว่างประเทศ ยกระดับให้เป็นภัยคุกคามมนุษยชาติและระบบนิเวศน์
การแก้ไขในประเทศ ควรเริ่มจากเหตุ ป้องกันเหตุ เมื่อเกิดเหตุแล้ว ต้องเยียวยา และฟื้นฟู ในระดับระหว่างประเทศ ต้องยกระดับเรื่องสารพิษที่ปนเปื้อน เรามีตัวอย่างที่รัฐคะฉิ่น แม่น้ำอิรวดี มีการปล่อยสารพิษลงในแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำกลายเป็นกรด ประชาชนเจ็บป่วย ระบบนิเวศน์เสียหาย เราจะปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบนโลกนี้ไม่ได้ เราต้องใช้หลักการค้าระหว่างประเทศ มีการตรวจสอบการได้มาซึ่งแร่ การแปรรูป เพื่อใช้ในพลังสะอาด แบตเตอรี่มือถือ ไอแพด แล็ปท็อปซึ่งเราเรียกว่าพลังงานสะอาดในยุคนี้ แต่การได้มาซึ่งแร่หรือวัตถุดิบ ไม่มีมาตรการบำบัดเยียวยาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
เราเรียกร้องให้ กระทรวงอุดมศึกษา วิจัยศึกษาและนวัตกรรม โดยเฉพาะมหาวิทยาลัย คณะที่ทำการวิจัยเหมืองแร่ เกี่ยวกับเร่ ดิน น้ำ ระบบการเกษตร ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้หลักวิชาการ นำศาสตร์ต่างๆ มาบูรณาเพื่อแก้ไขปัญหา โดยการมีส่วนร่วมจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทยและมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เพื่อนำหลักวิชาการมาแก้ไขปัญหานี้ เพราะตอนนั้น การทำเหมืองผิดฎหมาย เข้ามาสู่ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์และพันธุกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะพันธุกรรมของเด็กรุ่นใหม่ คนแก่ ผู้หญิงตั้งครรภ์
ธรรมมที่ควรอยู่ในใจของนักการเมือง
มนุษย์ทุกคนต้องมีหลักธรรมอยู่ในใจ ในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต หลักศีล 5 เป็นหลักธรรมที่สามารถนำมาใช้ได้ แต่เป็นศีล 5 เพื่อสังคม ศีลข้อ 1.การไม่ฆ่าสัตว์ หมายถึงการไม่ทำร้ายเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ไม่ว่าจะด้วยวิถีทางใด ศีลข้อ 2. ไม่ลักขโมย หมายถึงการไม่เอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของส่วนตน มีความโปร่งใส มีธรรมาภิบาลในการทำงาน ในการทำหน้าที่ ถ้าเรามีความซื่อสัตย์สุจริตไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพใด ๆ ทำงานการเมืองระดับใด ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่โปร่งใส งบประมาณจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนนรวม เราจะเจริญก้าวหน้า ไม่มีถนนขรุขระ ซ่อมแล้วซ่อมอีก ไม่มีปัญหาตึกถล่ม ไม่มีการศึกษาดูงานโดยแอบอ้างเพื่อใช้ในประโยชน์ส่วนตน เราควรเชื่อเรื่องธรรม โดยเฉพาะเรื่องกฎแห่งกรรม ทำดี จิตของเขาจะสูง ทำชั่ว พูดปด ไม่เคารพสัจจะ จิตก็จะมืดบอด หลักธรรมะต้องมีอยู่ในใจของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือประกอบอาชีพอะไร
รัฐมนตรี ควรจะเลือกจากคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เช่น หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือท่าน ถนัด คอมันตร์ เราเห็นบทบาทในเวทีระดับโลก แต่การเมืองในยุคหลัง เราใช้โควตาตำแหน่งพรรคการเมือง แต่ไม่ได้ดูเรื่องความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะ กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงอุดมศึกษา วิจัยศึกษาและนวัตกรรม ฉันคิดว่าเป็นกระทรวงที่เป็นมันสมองของประเทศ สร้างกำลังคนที่มีคุณภาพ ควรจะต้องคัดเลือกบุคคลมาอย่างดี ควรจะมีรัฐมนตรีที่มีคุณภาพ หมาะกับตำแหน่ง มิใช่คนที่มาจากพรรคการเมือง พรรคการเมืองควรเลือกรัฐมนตรีจากคนนอก ที่ดี มีคุณธรรม มีจริยธรรมเป็นที่รองรับ