พระยายุทธิษฐิระ คือ เจ้าเเมืองพะเยา สืบเชื้อสายราชวงศ์พระร่วงเจ้าเมืองสุโขทัย พระเจ้าติโลกราชเกลี้ยกล่อมพระยายุทธิษฐิระเป็นบุตรบุญธรรมและช่วยทำศึกสงคราม เมื่อสงครามเสร็จสิ้น พระเจ้าติโลกราชให้พระยายุทธิษฐิระปกครองเมืองพะเยา (พ.ศ.2011-2022) พระยายุทธิษฐิระศรัทธาพุทธศาสนา ส่งเสริมภิกษุให้ศึกษาธรรมตามแนวทางมหายาน ทรงสร้างวัดป่าแดงบุญนาคและสร้างวัดติโลกอาราม

ผืนน้ำ “กว๊านพะเยา” เป็นประกาย แสงดวงตะวันงดงามท่ามกลางโบราณสถานซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำมีชื่อว่า “วัดติโลกอาราม” ย้อนเวลากลับไปหลายร้อยปี ใต้ผืนน้ำ “กว๊านพะเยา” คือชุมเมืองมีผู้อาศัยเรียกว่า พยาว หรือ ภูกามยาว อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรล้านนา (เชียงใหม่) ซึ่งในยามนั้น อาณาจักรล้านนาปกครองโดยพระเจ้าติโลกราช ทำศึกกับกรุงศรีอยุธยาซึ่งปกครองโดยพระบรมไตรโลกนาถ

สมัยก่อนบ้านเมืองปกครองแยกขาด สุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงเรืองอำนาจ ปกครองแว่นแคว้นหัวเมืองน้อยใหญ่อาณาเขตกว้างไกลถึงล้านนา เมื่อสิ้นพ่อขุนรามคำแหงเหล่าขุนนางขัดแย้งแตกแยก เจ้าเมืองวางใจหัวเมืองประเทศราช ปล่อยให้สะสมกำลังทหารแข็งขืนแยกตนเป็นอิสระ เจ้าเมืองล้านนาเข้มแข็งประกาศอิสรภาพ ด้านพระเจ้าสามพระยาเจ้าเมืองอยุธยาแม้ภักดี กลับดำเนินเล่ห์กลจนสมเด็จพระอินทาราเมตตายกพระราชธิดาให้อภิเษกสมรส เมื่อสิ้นสมเด็จพระอินทาราเจ้าเมืองสุโขทัยองค์สุดท้าย เจ้าสามพระยาจึงปกครองอยุธยาและสุโขทัยคู่ขนาน แต่การปกครองนั้นยากยิ่งด้วยผู้คนสองเมืองไม่สามัคคี แตกแยกขัดแย้งชิงดีชิงเด่น ส่วนล้านนาเรืองอำนาจมุ่งทำศึกตีหัวเมืองจนราบคาบ เจ้าสามพระยาวัยชราเริ่มอ่อนแอจึงยกราชสมบัติให้พระบรมไตรโลกนาถสืบต่อ การสู้รบระหว่างอยุธยากับล้านนาดำเนินต่อเนื่อง 

เมื่อพระบรมไตรโลกนาถครองราชย์สมบัติ ทรงออกผนวช ณ วัดจุฬามณี พิษณุโลก เพื่อขอบิณฑบาตเมืองเชียงชื่น เมื่อเดินทางถึงเมืองล้านนา พระบรมไตรโลกนาถเผชิญหน้ากับพระเจ้าติโลกราชพร้อมคณะสงฆ์ เมืองล้านนาสามนิกายประกอบด้วย 1.ศิษยานุศิษย์พระสุมนเถระนิกายลังกาวงศ์เดิม(วัดสวนดอก) 2.นิกายลังกาวงศ์ใหม่กลุ่มสุโขทัย 3.นิกายมหาวงศ์ใหม่กลุ่มพระธรรมคัมภีร์ (วัดป่าแดง วัดเจ็ดยอด) อันเป็นเหล่าสงฆ์ผู้รอบรู้แม่นยำธรรมวินัยวินิจฉัยว่า “ ผู้ออกบวชย่อมสละสมบัติทั้งปวง การบิณฑบาตเมืองหาเป็นกิจอันควรของสงฆ์ไม่ ” พระเจ้าติโลกราชนิ่งงันส่วนพระบรมไตรโลกนาถเสด็จกลับอยุธยาอย่างปลอดภัย

ล้านนาเรืองอำนาจ มิต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ มิเป็นเมืองขึ้นกับผู้ใด พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้เติบโตมากับการแก่งแย่งชิงดีเข็มแข็ง ทำสงครามตีเมืองน้อยใหญ่เป็นหัวเมืองประเทศราช (colony) พระเจ้าติโลกราชเจ้าเมืองล้านนาและขุนนางเมืองอยุธยาคุ้นเคยกันเพราะร่วมทำศึกสงคราม พระเจ้าติโลกราชเจ้าเมืองล้านนา มองเห็นพระยายุทธิษฐิระตั้งแต่เยาว์วัย รากเหง้าเหล่าสกุลบุตรขุนนางรูปร่างหน้าตาเติบใหญ่คงเป็นขุนศึก ยามเติบโตรับใช้พระบรมไตรโลกนาถกลับได้เพียงตำแหน่ง พระยาสองแควพิษณุโลก

พระยายุทธิษฐิระทรงน้อยใจที่พระบรมไตรโลกนาถผิดคำสัญญา  เพราะพระบรมไตรโลกนาถเคยสัญญาว่า หากพระบรมไตรโลกนาถได้ครองกรุงศรีอยุธยา จะให้พระยายุทธิษฐิระปกครองเมืองสุโขทัย ยามเติบใหญ่พระยายุทธิษฐิระช่วยทำการศึกและปกครองเมือง พระบรมไตรโลกนาถกลับให้ตำแหน่งเพียง พระยาสองแคว

ส่วนพระเจ้าติโลกราช รู้จักมักคุ้นพระยายุทธิษฐิระ เพราะเคยทำศึกชิงเมือง ครั้นจะทำสงครามรบฆ่าก็จักเสียคนดีมีฝีมือ พระเจ้าติโลกราชจึงเกลี้ยกล่อมพระยายุทธิษฐิระเป็นบุตรบุญธรรม จากนั้นนำกำลังทหารของพระยายุทธิษฐิระทำศึกชิงเมืองพิจิตร เมื่อสิ้นสงครามทรงให้ทหารพักรบอยู่เมืองภูคา (เขตพื้นที่สาธารณรัฐประชาชนลาว) หลังจากนั้นให้ พระเจ้าติโลกราชจึงให้พระยายุทธิษฐิระปกครองเมืองพะเยา (พ.ศ.2011-2022)

สงครามระหว่างอยุธยากับล้านนายังดำเนิน ช่วงพักจากศึกสงคราม การทำนุบำรุงศาสนาเป็นหลักสำคัญในการปกครองบ้านเมือง พระยายุทธิษฐิระเลื่อมใสศรัทธาพุทธศาสนา จึงสร้างวัด ดูแลศาสนา ส่งเสริมภิกษุให้ศึกษาธรรมตามแนวทางมหายาน ทรงสร้างวัดป่าแดงบุญนาคและวัดติโลกอาราม แต่เมื่อครองเมือง 10 ปี เกิดข้อพิพาทเพราะเรื่องพระพุทธรูป ด้วยพระยายุทธิษฐิระอันเชิญพระแก่นจันทร์แดง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์จากวัดประทุม (หนองบัว) จังหวัดเชียงใหม่มาประดิษฐาน ณ วัดป่าแดง จังหวัดพะเยา

ก่อนหน้านั้น เกิดข่าวลือว่า พระสงฆ์จากเมืองพุกามประเทศพม่าเป็นคนของอยุธยา วางแผนเข้าเมืองลอบทำคุณไสยและทำลายต้นไทร ณ แจ่งศรีภูมิ มุมเมืองเชียงใหม่ จนบ้านเมืองระส่ำระสาย พระยายุทธิษฐิระมิเป็นที่วางใจ ด้วยพระเจ้าติโลกราชเกรงว่าการเชิญพระแก่นจันทร์แดง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์จากวัดประทุม (หนองบัว) อาจเป็นเล่ห์กลชักนำของศักดิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ออกจากเมือง พระยายุทธิษฐิระถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าเมืองพะเยา แต่ยังคงมีศักดิ์เป็นลูกบุญธรรมของพระเจ้าติโลกราช พระยายุทธิษฐิระจึงปกครองเมืองพะเยาเป็นเวลา 10 ปี (พ.ศ.2011-2022)

พ.ศ.2482 ประตูกั้นน้ำแม่อิงเริ่มก่อสร้าง พ.ศ. 2484 การก่อสร้างเสร็จสิ้น สายน้ำอิงไหลรวมแม่น้ำหลายสายจากเทือกเขาผีปันน้ำ เกิดภัยธรรมชาติอันแปรปรวน ภัยแล้ง น้ำท่วม เกิดขึ้นมิรู้จักจบ ชุมชน ผืนน้ำ วัดวาอาราม กลายเป็นน้ำผืนเดียวชื่อ “กว๊านพะเยา” ชุมชนเมืองจมอยู่ใต้กว๊านพะเยา ส่วนผู้คนอพยพสร้างแหล่งอาศัยบริเวณรอบกว๊าน

ผืนน้ำกว๊านพะเยา ปกคลุมเมืองโบราณนานหลายสิบปี บ้านเรือนชุมชนผู้คนโยกย้าย แต่วัฒนธรรมโบราณยังถูกสืบสาน ยามน้ำลดหรือเกิดภัยแล้งมองเห็นก้อนอิฐเก่าแก่เรียงรายไม่เป็นระเบียบ โบราณสถานรกร้างขาดการดูแล ซากปรักหักพังของโบราณสถานอยู่กลางผืนน้ำ เศษอิฐอันเก่าแก่อายุกว่าสองพันปียังเข็งแกร่ง พุทธรูปปางมารวิชัยฝีมือช่างแกะสลักสกุลช่างพะเยาตั้งตระหง่านเช่นเดียวกับหลักศิลา

พระพุทธรูปหินทราย “หลวงพ่อศิลาวัดติโลกอาราม” มีต้นกำเนิดจากก้อนหินทรายจากผายาว ภูเขามีลักษณะเป็นป่าหินตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัด พะเยา-เชียงราย ช่างแกะสลักสกุลช่างพะเยาเริ่มต้นแกะสลักหินจากงานแกะสลักครกหิน พัฒนาฝีมือสู่การแกะสลักพระพุทธรูป  

หลวงพ่อศิลา เป็นพระพุทธรูปหินทราย ปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิ ขนาดกว้าง 110 ซม. สูง 140 ซม. ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2526 บริเวณเนินสันธาตุวัดติโลกอาราม (ขณะนั้นยังไม่ทราบชื่อ) ชาวบ้านอัญเชิญไปประดิษฐานที่ วัดศรีอุโมงค์คำ ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา พ.ศ. 2550 มีการบูรณะวัดและค้นพบศิลาจารึก จึงทราบว่าชื่อ “วัดติโลกอาราม” จังหวัดพะเยาและคณะพระสงฆ์จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อศิลาวัดติโลกอารามกลับไปประดิษฐานที่วัดติโลกอารามดังเดิม

ยุคสมัยก่อนงานแกะสลักหินทรายรับอิทธิพลจากเชียงแสน ผสมผสานอิทธิพลพระพุทธรูปหมวดใหญ่ศิลปะสุโขทัย งานด้านสถาปัตยกรรมผสมผสานศิลปะหลายวัฒนธรรม ทั้งประสาทศิลปะเขมร ศิลปะสุโขทัย ศิลปะล้านนา เจดีย์วัดติโลกอาราม คือ เจดีย์ทรงประสาทยอด มีลักษณะเรือนหลังคาซ้อนกันเป็นชั้น อันเป็นการผสมผสานทางศิลปะ มิใช่สร้างตามคติความเชื่อเขมร เช่นเดียวกับเจดีย์วัดป่าแดงบุญนาค อันเป็นวัดคู่บุญซึ่งก่อสร้างในช่วงสมัย พระยายุทธิษฐิระ เป็นผู้ปกครองเมืองพะเยา

ประติมากรรม บอกเล่าประวัติศาสตร์เมือง การสงครามแก่งแย่งชิงดีเสื่อมสลาย พระพุทธรูปหินทรายอันเคยงดงาม ผิวพรรณเรียบดั่งขัดมัน ถูกกัดกร่อนด้วยกระแสน้ำ ศิลปะอาจเหมือนสายน้ำ งดงามหนุนเนื่อง วัฒนธรรมก็อาจเป็นเช่นเดียวกับสายน้ำที่ไหลเวียนบรรจบผสมผสาน พุทธศิลป์สกุลช่างแกะสลักเมืองพะเยาเป็นเหมือนสายน้ำบรรจบสามสาย นั่นคือ พุทธศิลป์เชียงแสน พุทธศิลป์สุโขทัย และพุทธศิลป์ล้านนา

พุทธศตวรรษที่ 19  ศิลปะการแกะสลักสกุลช่างพะเยารับอิทธิพลจากเชียงแสน พระพุทธรูปสิงห์หนึ่ง ศิลปะกาละจากเมืองพุกามประเทศพม่า นับเป็นเอกอัครพุทธศิลป์แห่งเมืองล้านนา พระพุทธรูปปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิเพชร หัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา(ตัก) หัตถ์ขวาวางคว่ำลงบนชานุ (เข่า) วรกายอิ่มเอิบน่าศรัทธา มีนิทานปรัมปราหรือสิหิงคนิทานเล่าว่า พระพุทธรูปสิงห์หนึ่งสร้างขึ้นในลังการาว พ.ศ.700 โดยเจ้าเมืองลังกา 3 พระองค์ ทรงร่วมพระทัยพร้อมกับพระอรหันต์ หมายให้เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า อ้างอิงถึงพญานาคผู้มีอายุยืนยาผู้พบเห็นพระพุทธเจ้ายามมีชีวิต จากนั้นจึงนิมิตแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง แล้วสร้างพระพุทธรูปตัวแทนพระพุทธเจ้า เมื่อพุทธศาสนาเผยแผ่ถึงเมืองเชียงแสน พระพุทธรูปสิงห์หนึ่งจึงเป็นที่เลื่องลือถึงศรัทธาและความงดงาม  

ปลายพุทธศตวรรษ 19 – 20 เมืองพะเยารวมเป็นหนึ่งกับอาณาจักรล้านนา พระสุมนเถระนิกายลังกาวงศ์เดิม มีบทบาทสำคัญสู่การนำศิลปะสุโขทัยเผยแพร่สู่อาณาจักรล้านนา ยุคสมัยพญาคำฟูเจ้าเมืองพะเยารับอิทธิพลศิลปะปติมากรรมสุโขทัย พุทธศิลป์พระพุทธรูปสุโขทัยหมวดใหญ่เลื่องลือด้านความงดงาม เมื่อกล่าวให้เข้าใจโดยง่ายเปรียบพระพุทธรูปเป็นร่างกายมนุษย์ พุทธรูปหมวดใหญ่นั่งขัดสมาธิแบนราบกับพื้น ดวงหน้ามนเหมือนดั่งรูปไข่ ดวงเนตรพริ้มเหลือบมองลงต่ำด้วยเมตตา รูปคางกลมเป็นปม รูปจมูกเรียวโด่งเป็นสันงดงาม รูปปากคล้ายดั่งอมยิ้ม ขอบริมฝีปากเป็นรอยเส้นคู่ดูแปลกตา พุทธรูปหมวดใหญ่สุโขทัยงดงามเป็นเอกลักษณ์อันชดช้อย แสดงถึงความงดงามของบ้านเมืองในยุคสมัยนั้น   

พุทธศตวรรษ 20 ยุคสมัยแห่งการตกผลึกพุทธศิลป์สกุลช่างพะเยา หลังรับอิทธิพลศิลปะล้านนาจากพระพุทธรูปพระเจ้าแข้งคมสร้างสมัยพระเจ้าติโลกราช อันเห็นเด่นชัดเป็นสังเกตบริเวณลำแข้งพระพุทธรูปสั้นกว่าพุทธรูปทั่วไป ศิลปะสกุลช่างพะเยายุคสมัยนี้ นับเป็นเอกอัครแห่งพระพุทธรูปหินทราย ด้วยวัตถุธาตุเกิดจากการชนกันของชั้นหินเปลือกโลกบริเวณลอยเลื่อน กลายเป็นเทือกเขาผายาวอันมั่นคงศักดิ์สิทธิ์ ผ่านกระบวนการอันประณีตนำหินผาสู่แท่งสลัก พุทธศิลป์หลายแขนงถูกผสมผสาน ความคมคายของลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ ผ่านความชำนาญในการลงน้ำหนักด้วยฆ้อนกระทบหัวเหล็กลิ่ม การแกะสลักพุทธรูปหินทรายมิใช่เพียงฝีมืออันละเอียดหมดจด    

ส่วนหินที่ใช้สำหรับการแกะสลักนำมาจาก “ผายาว” เป็นชื่อเรียกหุบผา มีลักษณะยาวเป็นแนวดั่งนิ้วนางอันชดช้อย เป็นต้นธารอารายธรรมหินทรายของศิลปินช่างแกะสลักหินทรายสกุลช่างพะเยา สมัยก่อนหินทรายจากบริเวณแถบนี้ ถูกนำมาก่อสร้างเป็นประติมากรรม ทั้งเสาอุโบสถ พระประธาน พระพุทธรูป ลูกนิมิตพุทธสีมา หินทรายนับเป็นรากฐานพุทธศิลป์  

บริเวณ วัดผาธรรมนิมิต (วัดผาห้วยเกี๋ยง) ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา พบก้อนหินทรายเก่าแก่จำนวนมากเรียงราย เมื่อเดินสำรวจลงไปตามหุบผาสลับซับซ้อน มองเห็นร่องรอยการแกะสลักงดงาม มองลงไปตามหุบเขาอันลาดชัน มองเห็นกองหินทรายเรียงรายเลื่อมสลับ แม้จะเป็นร่องรอยเก่าแก่แต่สามารถสังเกตได้ว่า เป็นร่องรอยหลักฐานจากการกระทำของมนุษย์ สันนิษฐานว่า  หินที่ใช้สลักเป็นพระพุทธรูปหรือหลวงพ่อศิลาเป็นหินทรายก้อนหนึ่งบนผายาว