ไกรภพ จันทร์ดี หรือ กบ ไมโคร เป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยหนุ่นกับวงไมโคร เริ่มจากอัลบั้ม “ร็อค เล็ก เล็ก” ค้นพบตัวตนและวิถีการทำงานดนตรี หลังจากออกอัลบั้ม คือ หมื่นฟาเรนไฮต์ , เต็มถัง บรรลุความถึงความเป็นมือกีตาร์จากการทำงานในห้องบันทึกเสียง ทำอัลบั้มของตนเอง คือ มนุษย์กบ,กีตาร์ไม่มีสาย,ฉันทนาโคโยตี้ ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ และหวนกลับสู่เวทีคอนเสิร์ตอีกครั้งกับวงไมโคร เขาบรรลุถึงความเป็นศิลปิน เข้าใจรูปแบบการทำงานดนตรีตั้งแต่ยุค 1980 ถึงปัจจุบัน แม้ช่วงแรก เขาจะรับวัฒนธรรมดนตรีตะวันตกมาอย่างมหาศาล แต่ก็สามารถข้ามผ่านสู่การสร้างสรรค์ผลงานด้วยตนเอง วิธีคิดและวิธีนำเสนองานดนตรีของเขาแตกต่าง นั่นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ “ไมโคร” ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของแฟนเพลง

วัยเด็กกับการค้นพบดนตรี

ผมเป็นคนภาคอีสานอพยพ พ่อเป็นคนจังหวัดโคราช พาครอบครัวเข้ากรุงเทพฯ เข้าสู่ความเจริญ ฉากชีวิต เป็นคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ประสีประสาอะไร เป็นที่น่าขันของพี่น้องทุกคน ครอบครัวเรียกผมว่า ทึบ หรือ ไอ้ทึบ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น เมื่อมาอยู่กรุงเทพก็เป็นเด็กที่โง่ที่สุดในห้อง ห้องเรียนมี 23 คน สอบได้ที่ 23 ตอนนั้น ดีใจมากเพราะคิดว่าได้ลำดับเลขมากที่สุด เมื่อเรียนประถมศึกษาชั้นปีที่ 2 ประสบอุบัติเหตุ ถูกไฟช็อต ตกบันไดบ้านหัวน็อคพื้นสลบ หลังจากนั้นก็สอบได้ที่ 1 มาตลอด เมื่อเรียนจบโรงเรียนวัดเทพลีลารามคำแหง ก็อยากสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดม

ตอนนั้น เด็กที่เข้าสอบประมาณ 7,000 -8,000 คน นักเรียน 500 คน เราก็สอบเข้าได้ ผมมีสมองไม่ปกติ คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น เราไม่ต้องการและเราไม่พยายามเป็นคนเรียนเก่ง เราก็ทิ้งการเรียน ไม่ใส่ใจเรื่องการเรียน ตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาเตรียมอุดมพัฒนาการไปเยี่ยมโรงเรียนเตรียมอุดพญาไทในงานนิทรรศการโรงเรียน เป็นครั้งแรกที่เราเห็นการแสดงดนตรีร็อกบนเวที เป็นครั้งแรกในชีวิต เราก็เดินไปเกาะหน้าเวที มองดูกีตาร์ กีตาร์ที่เล่นดนตรีร็อค เป็นครั้งแรก บ้านเราเป็นบ้านที่ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีโลกภายนอก เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเพลงร็อก เราก็ตัดสินใจว่า ฉันจะเล่นดนตรีร็อก จะเป็นมือกีตาร์ร็อก

เราเล่นกีตาร์ตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จับคอร์ด C Em F G เล่นเพลง เหมือนไม่เคย ของวงแกรนด์เอ็กซ์ “เรื่อยๆ มาเรียงๆ นกบินเฉียงไปทั้งหมู่” ส่วนรุ่นพี่ข้างบ้านก็เล่นเพลงเพื่อชีวิต วงคาราวาน เช่น คนกับควาย เปิบข้าว ข้าวคอยฝน นกสีเหลือง เราเล่นเพลงพวกนี้ตั้งแต่เรียนประถมศึกษา เล่นโดยไม่เคยได้ยินเพลงต้นฉบับ ภายหลังถึงทราบว่า พี่ชายข้างบ้านเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่หายไปในเหตุการณ์ 6 ตุลา

จุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรี ไม่ได้เล่นดนตรีเพลงร็อก เราเล่นเพลงเพื่อชีวิต เพลง คาราวาน กรรมาชน แต่ไม่รู้จักว่า มันคืออะไร? เมื่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เห็นเขาเล่นเพลงร็อกบนเวทีครั้งแรก ก็ตัดสินใจว่าจะเล่นเหมือนพี่เขาเล่น เราทิ้งการเรียน ครอบไม่มีเงินพอที่จะส่งเราเรียนดนตรี ดนตรีเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน แม้พี่ชายคนโตจะเป็นนักดนตรีคาเฟ่ เล่นกีตาร์กับริทึ่มบอกซ์ (Rhythm Box) แล้วก็เลิกเล่น ทิ้งกีตาร์ไว้ให้ เราแอบเล่น แอบฝึก ทำทุกอย่างเอง หยิบกีตาร์ขึ้นมาพยายามทำให้มันเป็นเพลงที่เราเคยได้ยิน เรียนกีตาร์โดยไม่รู้โน้ต ไม่รู้คอร์ด ไม่มีคนสอน หัดเล่นด้วยตนเองมาเรื่อยๆ

จุดเปลี่ยนชีวิตสู่ “ไมโคร”

เมื่อเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มีเพื่อนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ชวนตั้งวงดนตรี ออกตระเวนเล่นดนตรีตามต่างจังหวัด ค่าตัวไม่ได้ ขอให้ได้ไปเล่น ตั้งแต่วันนั้น เราไม่เอาการเรียน เราเลือกเล่นดนตรี เราจะต้องเป็นมือกีตาร์วงดนตรีร็อกบนเวทีให้ได้ ต้องฝึก ต้องค้นหาเอาเอง ไม่มีเงินไปเรียนดนตรี ทุ่มเทค้นหามันให้เจอ แต่ละวันก็ได้แต่เล่นกีตาร์ เพื่อนที่โรงเรียนรู้ว่าเราเล่นกีตาร์ก็เพราะหิ้วกีตาร์มาโรงเรียน ก็ชวนตั้งวง เรามีโอกาสได้เจอกับนักดนตรีรุ่นใหญ่ที่จังหวัดจันทบุรี ตอนนั้น เราเล่นดนตรีชื่อวง The dust เป็นวงเล่นเปิดงานให้เขา ส่วนวงของเขาเล่นเพลงของ Scorpions เมื่อเล่นเสร็จเขาก็ถามชื่อ เราบอกว่าชื่อ “กบครับพี่” เขาก็บอกว่า “กลับไปกรุงเทพฯ ถ้านายมีเวลา ไปเจอเราที่ประตูน้ำ เรามีห้องซ้อมดนตรีที่ประตูน้ำ ถ้านายชอบสกอร์เปี้ยน” พี่คนนั้นคือ พี่ปู่ เป็นมือกลองวงเดอะแก็งค์ หลังจากนั้น เมื่อเราเล่นดนตรีกับพี่ปู่ เราก็เป็นเสมาชิกรุ่นต่อมาของวง “เดอะแก็งค์”

พี่ปู่เป็นเจ้าของห้องซ้อม เป็นเจ้าของร้านทำผม แต่เพื่อนร่วมวงเป็นเด็กมหาวิทยาลัย เมื่อเรียนจบก็แยกทางกัน เราก็เข้าไปอยู่ในวงแต่ยังไม่ทันได้โชว์ก็แยกทางกัน เราเซตวงขึ้นมาใหม่ แล้ววง “เดอะแก๊งค์” ก็ไปเจอกับผู้ใหญ่ในวงการ ชื่อ สมัชญ์ มโนใหม่ เป็นน้องของพี่ดา เจ้าของ DaDa Sound รายการโลกดนตรี พี่สมัชญ์ เล่าให้ฟังว่า คุยกับรุ่นใหญ่ รุ่นใหญ่บอกว่า ชื่อ “เดอะแก็งค์” มันไม่เหมาะ เลือกเอาชื่ออื่นมาทำวง เช่น นิวเคียร์ หรือ ไมโคร คนที่ฝากข้อความถึงเราก็คือ พี่จี๊ด สุนทร สุจริตฉันท์ (นักร้องนำวงรอยัลสไปรท์) พวกเราจึงเลือกชื่อวง “ไมโคร” เป็นจุดกำเนิดวงดนตรี 5 คน มีพี่ปู่เป็นนักร้องนำ แต่ “ไมโคร” ก็ยังเล่นเพลง Scorpions

เราเป็นคนไม่ดูคอนเสิร์ต แรงบันดาลใจส่วนใหญ่มาจากภาพโปสเตอร์ที่ซื้อตามตลาดนัด โปสเตอร์แผ่นละ 5 บาท เอาไว้ใส่หน้าปกสมุด เปิดวิทยุฟังรายการ Top Teen Talent เล่นดนตรีของ Scorpions ทั้งอัลบั้ม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อพี่สมัชญ์ พาไมโครไปเจอกับพี่เสกสรรค์ ภู่ประดิษฐ์ ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ “โลกดนตรี” พี่เสกสรรค์ พาไปเจอกับอาเปี๊ยก โปสเตอร์ เมื่อทราบว่า ต้องการวงดนตรีเด็กวัยรุ่นเล่นเพลงร็อก เขากำลังจะสร้างภาพยนตร์ เป็นสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับดนตรีร็อกรุ่นใหม่ พี่เสกสรรค์จึงพาไมโครไปเสนอกับอาเปี๊ยก ตอนนั้น เป็นจังหวะที่พี่ปู (อดิสัย นกเทศ) ชวนหนุ่ย อำพล ลำพูน มาร้องนำ หนุ่ยเป็นเด็กอำเภอแกรง จังหวัดระยอง เป็นเด็กบ้านเดียวกันแล้วเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ

แจ้งเกิดในภาพยนตร์ยุค 80

พี่ปูเป็นนักวางแผน แกมั่นใจว่า หนุ่ยดีพอที่จะนำเสนอกับอาเปี๊ยก ตอนนั้น หนังเรื่องวัยระเริงมีพระเอกอยู่แล้ว เมื่ออาเปี๊ยกมาเห็นหนุ่ย ด้วยความที่หนุ่ยเป็นนักร้องนำของวงไมโคร อาเปี๊ยก ตัดสินใจเลือกหนุ่ยเป็นพระเอก ถึงแม้ในภาพยนตร์จะเป็นมือกลองและนักร้อง แต่โดยสถานภาพหนุ่ยเป็นนักร้อง แล้วพวกเราก็เป็นนักแสดงในภาพยนตร์ด้วยกัน พี่ปูเป็นนักวางแผนมือฉกาจ พวกเราเล่นหนัง “วัยระเริง” คนทั่วไปก็ไม่นึกว่า วัยระเริงเป็นวงดนตรีจริง นึกว่าเป็นนักแสดงถูกตั้งชื่อเพื่อเล่นดนตรีลิปซิ้งค์ในหนัง กระทั่งหนุ่ยทำงานเป็นพระเอกหนังเรื่อง “น้ำพุ” พี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ ทราบจากหนุ่ยว่า หนุ่ยมีวงดนตรี หนุ่ยคุยงานเพลงกับพี่เต๋อ แล้วหนุ่ยก็ดึงวงไมโครเข้าสู่บริษัทดนตรี แต่ก่อนหน้านั้น ไมโคร ก็เกือบได้ออกอัลบั้มหลายครั้ง

จุดเปลี่ยนสำคัญของไมโครเกิดขึ้นอีกครั้ง ตอนเล่นเพลงของ Scorpions ไมโครไม่มีมือคีบอร์ด พี่ปูก็คิดว่า วงดนตรีต้องมีสีสัน พี่ปูทาบทามสมาชิกคนสำคัญ คือ พี่บอย เข้ามาเป็นมือคีย์บอร์ดในยุคที่วงดนตรีแฮร์แบรนด์เข้ามาในตลาดโลก เช่น Bon Jovi เพลง Runaway อินโทรนำด้วยคีย์บอร์ด เป็นเหตุผลให้พี่ปูดึงบอยจากห้องซ้อมมาอยู่วงไมโคร ส่วนพี่ปู่ก็ออกจากวงไปแล้ว และแล้ววันสำคัญก็มาถึง เมื่อหนุ่ยเอาเพลงไปเสนอกับแกรมมี่ทำให้เกิดการออดิชั่น ตอนนั้นเราอายุ 17 ปี เป็นวันอาทิตย์ เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาให้เล่นดนตรีก็ไป คอนเสิร์ตชื่อ “แดดเดียว” ถ่ายทอดสดช่อง 9 แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันคือคอนเสิร์ตออดิชั่นวงดนตรีเข้าแกรมมี่ พิธีกร คือ พี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ เราเล่นดนตรีกันเต็มที่ เราเล่น Rock Bottom , Breaking the Law

จำความได้ว่า เมื่ออัดรายการเสร็จถอดแจ็คกีตาร์ออก ขณะกำลังจะเดินลงเวที พี่คนหนึ่งที่คุมเวทีตะโกนบอกว่า “เด็กๆ วันอังคารเข้าบริษัทนะลูก” ใครไม่รู้ในวงก็ถามว่า “ทำอะไรครับ” เขาก็บอกว่า “เซ็นสัญญา”

เราเล่นดนตรีร็อก ไม่เคยเล่นดนตรีในร้านอาหาร ไม่มีคนจ้าง ไม่มีห้องซ้อม ไม่มีเวลาให้เล่นในงานดนตรีทั่วไป งานหลักของไมโครคือการซ้อมดนตรี นานๆ ถึงจะมีโอกาสได้ออกไปเล่นดนตรีสักครั้ง เราอยากจะซ้อมดนตรี ซ้อมเพลงเดิมๆ ซ้อมจนกระทั่งเข้าสู่บริษัทแกรมมี่ พวกเราไม่เคยรู้ทฤษฎีดนตรี ไม่เคยบันทึกเเสียงในห้องอัด อัลบั้มชุดแรกออกวางจำหน่ายหลังเซ็นสัญญากับแกรมมี่เกือบปี เราทำหน้าที่ร้องพลงไมโคร 3 เพลง เราร้องเพลงแบบซื่อๆ พี่ป้อม อัสนี โชติกุล เป็นคน Rhythm ตอนนั้น เราไม่รู้เลยว่า Rhythm คืออะไร Timing คืออะไร แต่มีโอกาสโซ่โล่กีตาร์หลายเพลง ตอนนั้นอายุเราเพียง 18 ปี

เราฝ่าด่านปรมจารย์ทางดนตรีในห้องอัด ขอเข้าบันทึกเสียงได้ในชุดแรก รับหน้าที่ร้องเพลง “เรามันก็เป็นอย่างนี้” เพลง “ลุง” อีกเพลงที่สำคัญซึ่งมารู้ทีหลังว่า ตอนแรกเราต้องร้องเพลง “จำฝังใจ” แต่หนุ่ยไม่คลิ๊กกับเพลง “รักปอนปอน” จึงขอร้องเพลง “จำฝังใจ” เราก็เลยรับหน้านที่ร้องเพลง “รักปอนปอน” ซึ่งส่งผลสำคัญต่อชีวิต ยอมรับว่า ตั้งรับไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดถึงเรื่องชื่อเสียงหรืออะไรทั้งสิ้น อุดมคติการเล่นดนตรีของเรา เราไม่ได้เล่นกีตาร์เพื่ออวดหญิง ไม่ได้อยากเล่นดนตรีเพื่อโชว์ออฟบนเวที เราเพียงต้องการเข้าถึง เหมือนเขาคนนั้น เหมือนตอนที่เขาเล่นดนตรีแสดงตอนที่เราเรียนเตรียมอุดมศึกษา เราจึงไม่กังวลใจเมื่อเกิดอะไรขึ้น เมื่อบทเพลงเป็นที่รู้จัก มีคนเขียนจดหมายถึงที่บ้านเป็นร้อยเป็นพันฉบับ เราก็ยังตั้งหน้าตั้งตาซ้อมดนตรี เพื่อทำอัลบั้มต่อไปเพราะเราจะได้ไม่ต้องรบกวนรุ่นพี่เขามาเล่นให้ เราจะได้เป็นเจ้าของเสียงกีตาร์ของตนเอง เราไม่สนชื่อเสียงหรืออะไรทั้งสิ้น เรามีอุดมคติในเชิงดนตรีของเรา

แสวงหาและค้นพบศิลปินในตัวตน

เราเดินทางเล่นดนตรีทั่วประเทศ รับงานทุกรูปแบบ ไม่มีจังหวัดไหนที่ไมโครไม่ไป ยุคนั้น ถนนพหลโยธินยังสร้างไม่เสร็จ บริเวณลำตะคอง มีร้านอาหารเพียงร้านเดียว เก้าอี้เดียว เขามาเพื่อกินปลาดุกย่าง เราทัวส์คอนเสิร์ต ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ จากวงดนตรีที่ไม่เคยเล่นประจำ ไม่เคยมีใครจ้าง ก็กลายเป็นเล่นคอนเสิร์ต เล่นงานกลางแจ้ง เจอกับผู้คนหลักพันถึงหลักหมื่น คอนเสิร์ตสนามบอลมหาวิทยาลัยรามคำแหง แกรมมี่ให้ไมโครเล่นคอนเสิร์ตเปิดตัวอัลบั้มที่นั่น คนเต็มทั้งสนามฟุตบอล มองออกไปจนถึงยอดตึกรอบเวที คนจำนวนมหาศาล เขามาชมคอนเสิร์ตวงไมโคร ถือเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานดนตรีอย่างจริงจัง

จากวันเริ่มต้น เริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ฝึกเล่นกีตาร์อย่างจริงจังตอนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ร่วมวงดนตรีกับเพื่อนตอนเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 มาพบกับไมโคร มัธยมศึกษาปีที่ 5 ออกอัลบั้ม เข้าห้องบันทึกเสียงอายุ 18 ปี เล่นดนตรียาวนานมาถึงอัลบั้ม “ร็อค เล็ก เล็ก” “หมื่นฟาเรนไฮต์” และ “เต็มถัง” วิธีฝึกกีตาร์ยังคงเดิม ไม่ได้เรียนดนตรีอะไร แต่เรามีเพื่อนคือพี่ “อ้วน ไมโคร” เขาก็จะเล่นให้ดูแล้ว เราก็ทำตาม เราไม่มีทฤษฎีดนตรีหรือตำราดนตรีดู พี่อ้วน เขาเป็นคนขยันแกะเพลง เล่นสามพยางค์แบบนี้ เราก็จะรับมาจากพี่อ้วน แล้วก็ปรับปรุง มันสามารถพัฒนาต่อได้อย่างนี้นะ ก็จะเป็นคู่ฝึกที่ช่วยกันค้นหาและพัฒนา วิธีการเล่นกีตาร์เราค่อนข้างชัดเจน จากการวางโพสซิชั่นตนเองจากความชอบ (Positioning) ไม่มีใครมาบังคับ พี่อ้วนเป็นคนที่เล่นกีตาร์ชัดเจนหวานหู ส่วนเราเป็นคนเล่นกีตาร์เผ็ดถึงแม้จะเล่นเพลงเดียว ยิ่งฝึกไปเรื่อยๆ เราจะค้นพบอัตลักษณ์ของตนเอง เช่น ปิ๊กกีตาร์พี่อ้วนเวลาใช้ไปนานๆ จะเรียวแหลม ของเราเวลาใช้ไปนานๆ ปิ๊กกีตาร์จะกลม คือ อัตลักษณ์การใช้มือขวาที่แตกต่างกัน

ช่วงเวลานั้น เราไม่เคยดูวงร็อกเล่น มันทำให้เราต้องค้นหาว่า สิ่งที่เราอยากจะได้ อยากจะเป็น มันเป็นอย่างไร? เราค้นหา เราพบว่า ตอนที่เราพัฒนาตนเองได้ไวที่สุดคือตอนที่เราดีดกีตาร์โดยไม่เสียบแอป์ อยู่เงียบๆ ตอนตี 2 ดีดกีตาร์โดยไม่เสียบแอป์ พอเราได้ยินเสียงกีตาร์เปล่าๆ จากบอดี้โดยไม่มี distortion ไม่มีเอฟเฟค เราถึงเข้าใจว่า สิ่งที่เราเล่นอยู่ ติดอยู่ มันคือ มายาคติเสียง เนื้อเสียงจริงๆ มันเกิดจากีต้าร์เก่าๆ

จากจุดนั้น เราพัฒนามาถึงการเป็นคนทำงานดนตรีมืออาชีพ ซึ่งเป็นช่วงออกอัลบั้ม หมื่นฟาเรนไฮต์ ก่อนจะขึ้นอัลบั้ม เต็มถัง ก่อนนั้นเรา เล่นโดน เล่นได้ แต่ไม่เข้าใจ เข้าใจการเล่นกีตาร์จริงๆ ตอนปลายของการทัวส์คอนเสิร์ต หมื่นฟาเรนไฮต์ เต็มถัง แล้วก็ “ดับเครื่องชน” โมเมนต์ (Moment) เหมือนเพลง “เราเองมันก็คนอย่างนี้” เพียงแต่ว่า สิ่งที่ได้เกิดจาก Concentrate หรือ ความตั้งใจ มันขึ้นอยู่กับอุดมคติในการเล่นดนตรี เสียงในอุดมคติ โน้ตดนตรีในใจ รูปแบบของการเล่นที่เราชอบ เราบอกตามตรงว่า เราไม่ได้ฟังวงแฮร์แบนด์ ( Hair band หมายถึง วงดนตรีร็อกแนว Glam Metal หรือ Hard Rock ที่โด่งดังในทศวรรษที่ 1980 ถึงต้นทศวรรษที่ 1990) ยิ่งเล่นเพลงร็อก เพลงเฮฟวี่ ยิ่งไม่ฟังเพลง เพราะเราไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อถึงยุค เล่นเร็ว ปั่นกีตาร์เร็วเป็นจรวด เราไม่เอา เพราะมันไม่ใช่ความสุขในอุดมคติทางดนตรีของเรา

ถึงยุคของการเล่นกีตาร์แบบ Yngwie Johann Malmsteen หรือ Steve Vai มีคนถามว่า ทำไมไม่เล่นอย่างนั้น ก็เพราะว่า มันไม่ใช่ความสุข ความสุขของเราคือการได้เล่นโน้ตอย่างที่เราชอบ เราพอแล้ว บางคนบอกนายไปต่ออีกหน่อย ถ้านายเดินตามปรมจารย์เหล่านี้ นายอาจจะไปได้ไกลกว่านี้ เราบอก ไม่! เราพอแล้ว เพราะเราเดินทางมาถึงอุดมคติที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ตั้งแต่เด็ก เรามีความสุข ตอนนั้นคิดว่า ชีวิตเราคงไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องทำความรู้จักกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ดนตรี เมื่อไมโครแยกทางกัน เราเข้าสู่การเป็นมือกีตาร์บันทึกเสียงในห้องอัด บันทึกเสียงให้กับศิลปินในสังกัดแกรมมี่ นอกแกรมมี่ ทั้งค่ายใหญ่ ค่ายเล็ก รับทำงานหมด การทำงานในห้องบันทึกเสียงก็เป็นอุดมคติของเรา เวลาที่เราเดินทางไปที่ไหนแล้วได้ยินเสียงเพลงนั้นขึ้นมา ก็รู้ว่า ใช่ นั่นเป็นเสียงกีตาร์เรา

หวนคืนสู่ความทรงจำกับไมโคร

เสียงที่ฝากไว้ตลอดกาลในบทเพลง การเป็นมือกีตาร์บันทึกเสียงในห้องอัด ตอบโจทย์เป้าหมายการเป็นมือกีตาร์ การที่เราเล่นดนตรีต่อหน้าคนนับหมื่น ได้โชว์แอ็กชั่นสวยๆ มันก็ดี มันเป็นอีกรสชาติหนึ่งของชีวิต แต่รสชาติของการเป็นมือกีตาร์ คือ การเป็นศิลปินในห้องอัด ตอบโจทย์สิ่งที่พี่ต้องการ พี่อยากจะฝากเสียงไว้ในเพลง มันอยู่ตลอดกาล ตราบใดที่มีคนเปิดเพลง “หัวใจมักง่าย” นั่นละ ไม่ว่าจะไปได้ยินเพลงนี้ที่จังหวัดไหน มันก็เป็นเสียงกีตาร์ของเรา เราฝากเอาไว้ตรงนั้น มันเป็นความสุข

100% มีเพียง 1% ที่จะมีคนไกล์ไลน์ให้ 100 เพลง มีเพียงเพลงเดียวเท่านั้น ที่โปรดิวเซอร์จะบอกแนวทาง ทุกอย่างมือกีตาร์บันทึกเสียงต้องคิด ไม่มีโอกาสได้ฟังดนตรี หิ้วกีตาร์ไปห้องอัด ตั้งใจ เปิดเพลงฟัง เทียบคีย์ เช็คคอร์ด มันมีแพทเทิร์นอยู่ ไลน์ ริทึ่ม ไลน์หลัก ไลน์รอง ไลน์ประสาน เริ่มต้นหาริทึ่ม ส่วนใหญ่ที่โปรดิวเซอร์เรียกใช้เรา เขาต้องการเสียงแตกแบบ กบ ไมโคร ถ้าเขาต้องการเสียงคลีนใสๆ เขาก็จะบอกเราว่า เขาต้องการเสียงคลีนของกีตาร์แบบนี้ เล่นให้เขาฟัง แล้วเขาจะบอก Sey yes , Sey no เมื่อถึงท่อนโซโล่ เราเสนอให้กับโปรดิวเซอร์ฟังในสิ่งที่เรารู้สึกกับบทเพลงนั้น เล่นกันสดๆ ไม่มีการตระเตรียมกัน คิดกันที่หน้าห้องบันทึกเสียง ไม่มีการ copy หรือ paste เพราะเป็นยุคของอนาล็อค เพลงม้าเหล็ก จ๊อด กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา เป็นโปรดิวเซอร์ เราเทียบสาย เช็ค ใส่หูฟัง ริทึ่ม โซโล พี่จ๊อด เขาก็บอกว่า เอาบางส่วนของการเล่นที่เป็นเสียง “แว่วแว่ว” เราก็ทำให้เสียงกีตาร์เป็นเสียงวาวด์ๆ ไกด์ไลน์ เพียงแค่นี้เอง

เมื่อไมโครออกงาน “อินดี้” ตอนนนั้นเราอยู่ค่าย ฟิลฮาร์โมนิค (Philharmonie) ความจริงเป็นงานที่เรากับพี่บอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำเพลง แต่คนที่อยู่ในห้องบันทึกเสียง คนที่อยู่ในภาคของการสร้างงาน ก็จะเป็นพี่กบกับพี่บอย เรียนรู้การเป็นมือกีตาร์บันทึกเสียง เรียนรู้การทำเพลง เราออกอัลบั้ม “ทางไกล” จบแล้วก็แยกทาง ตามเส้นทางของตนเอง เราแต่งเพลง 3 เพลง เอาไปเสนอค่ายเพลงเผื่อได้ออกอัลบั้ม ก็คือ อยากแต่งเพลง ทำเพลงของตนเองบ้าง นั่นจึงเกิดเพลง “รักข้างเดียวมันช้ำอยู่แล้ว” ตอนนั้นอยู่กับบีอีซีเทโร เราไม่ได้เป็นศิลปินแต่งเพลงมาตั้งแต่ต้น เราเพียงแค่ “คัน” อยากทำ ความจริงการแต่งเพลง เป็นเครื่องมือหนึ่งในการที่เราจะได้ระบายสีความคิด ไม่ว่าจะเป็นสีของกีตาร์ สีของเนื้อร้อง สีของดนตรี เป็นไอเดียที่เป็นรูปธรรม

“มนุษย์กบ” ประสบความสำเร็จ ชุดต่อมา “กีตาร์ไม่มีสาย” อยู่กับบีอีซี-เทโร ชุดที่สามก็คือ “ฉันทนาโคโยตี้” กลับไปอยู่กับแกรมมี่โกลด์ ความจริงแล้ว ฉันทนาโคโยตี้ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยไอเดียเพลงร็อกเพื่อชีวิต ความจริงเป็นแนวคิดของอีกวงหนึ่งซึ่งเราเป็นสมาชิก แต่ตอนที่เรานำเสนอ พี่เขาไม่ยอมให้ใช้ชื่อวงนั้น ซึ่งวงนั้นเป็นวงร็อกเพื่อชีวิต “ฉันทนาโคโยตี้” เป็นต้นแบบเพลง “ดูถั๊วะ ดูถั๊วะ” ของ แสน นากา ต่อมาเราก็ได้เป็นโปรดิวเซอร์ของ แสน นากา โปรดิวเซอร์ แช่ม แช่มรัมย์

การเป็นโปรดิวเซอร์ เรามีต้นแบบ แต่ละจุดหมายของชีวิตไม่เหมือนกัน คนแรกที่ทำให้เราอยาเป็นโปรดิวเซอร์ คือ พี่ป้อม อัสนี โชติกลุ ตอนทำอัลบั้มชุด “ร็อค เล็ก เล็ก” , จ๊อด กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา , พี่ตั๋ม จาตุรนต์ เอมซ์บุตร เราแต่ได้ฝัน ได้แต่คิด ไม่นึกว่า ในเวลาต่อมาตนเองจะเป็นโปรดิวเซอร์ กระทั่งต้องมาทำอัลบั้มของตนเอง จึงเข้าใจว่า การโปรดิวเซอร์มันคือการดูองค์รวมทั้งหมดเข้ามาสู่สายพานการปั้มเทป เราเริ่มต้นจากการบันทึกเสียงจากกีต้าร์แทรคเดียว ปิ๊กกิ้ง โซโล มาสู่การดูแลดนตรีทั้งอับบั้ม เป้าหมายระหว่างทางชีวิตก็จะมีต้นแบบ การเป็นโปรดิวเซอร์เราต้องดูแลอะไรบ้าง ทำงานกับค่ายเพลงมีโจทย์ มีการนำเสนอเรฟเฟอร์เร้นซ์ (Reference) เอาเนื้อเพลงที่แต่งไว้มาทำเดโมเพื่อนำเสนอ บางทีโปรดิเซอร์บอกว่ามันเข้มไป คนที่สอนเราทำงานโปรดิวเซอร์ คือ กริช ทอมมัส หรือพี่ตี่ เราคลุกคลีกับพี่ตี่ในห้องบันทึกเสียง เราเป็นมือกีตาร์ประจำตัวพี่ตี่ ตั้งแต่ อัลบั้ม ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย , ยุ้ย อลิสา อินทุสมิต กระทั่งวันหนึ่งเราก็กลายเป็นทีมโปรดิวเซอร์ของพี่ตี่

วิถีสร้างสรรค์กับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง

การบันทึกเสียง เราเกิดจากเทป 2 นิ้ว ทุกอย่างทำด้วยมนุษย์ ใช้มือกดปุ่ม เดินหน้า ถอยหลัง และเจาะ เราไม่สามารถ Copy and Paste ตั้งแต่ต้นจนจบมันเป็นการเล่นจริงไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยี ทำท่อนนี้เสร็จแล้วมาวางข้างหลัง สามารปรับแก้ได้ เราปรับตัว เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี การทำงานง่ายขึ้น ต้นทุนต่ำ ค่าเช่าห้องอัดวันละ 15,000 บาท เหลือวันละ 8,000 บาท ทุกวันนี้นั่งบันทึกเสียงอยู่บ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ยุคสมัยก่อน ถ้าบอกว่ายังไม่ได้ บอกว่าร้อยแทรค ก็ต้องร้อยแทรค ทำงานตั้งแต่ 14.00 น. ถึง 08.00 น. ของอีกวัน เพราะเมื่อทุกอย่างเริ่มต้น เราต้องทำให้จบให้ได้ในแทรค คือถ้าบอกว่าจบกี่โมง ต่อเวลาได้ถึงกี่โมง ก็ต้องจบให้ได้ มือกีตาร์หรือคนทำงานเพลงในยุคเก่า เขาถึงมีความตั้งใจในการทำเพลงสูงมาก ไม่ว่าแรงกดจะมากแค่ไหน ต้องทำให้ได้ เมื่อมาถึงยุคดิจิตอล มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายขึ้น เป็นเจ้าของง่ายขึ้น พัฒนางานได้ง่ายขึ้น เราจึงได้ยินได้ฟังอะไรที่แปลกหู แตะหู มีเพลงใหม่ขึ้นทุกวัน

เราไม่เคยมีกำแพงกับเด็กยุคใหม่ เพราะเรารู้ว่า ที่มาที่ไปในการสร้างงานเพลงเกิดจากอะไร อีกอย่างคือ ดนตรีไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้ ถึงแม้ว่าคนยุคหนึ่งจะหยุดอยู่กับเพลงยุค 80 หรือ 90 อาจจะบอกว่า คนรุ่นนี้ฟังเพลงอะไรไม่รู้เรื่อง แต่เพลงในยุคสมัยนี้ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อให้คนยุค 80-หรือ 90 มันเป็นคนละกลุ่มเป้าหมาย การเดินทางของเสียง ของดนตรี เราทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา Disruption ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงแค่เพียงโครงสร้างเพลง หรือเครื่องมือทำเพลง แต่นำพาเอาสิ่งใหม่เข้ามา เปิดโอกาสให้คนที่เข้าไม่ถึงได้มีโอกาสในการสร้างงานเพลงของตนเอง ตอนอายุ 18 เราเล่นคอร์ดไม่ผ่าน เพราะ Timing พี่ป้อมต้องมาเล่นคอร์ดให้ ถ้าเป็นยุคสมัยนี้ เราอายุ 18 ปี เราอยู่กับดิจิตอล เราสามารถทำได้ เราสามารถ Loop มัน ฝึกมัน เล่นอยู่กับมัน โดยที่ไม่ต้องรบกวน Sound Engineer กด Loop กด Review ถ้า Review เกิน 50 รอบ เขาก็มองหน้าแล้ว ทุกวันนี้ดิจิตอลให้โอกาสคนเข้าถึงการสร้างผลงานเพลง

วันที่กลับมาเล่นคอนเสิร์ต เราไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ถึงได้เห็นว่า ภาพความทรงจำที่พวกเราได้สร้างเอาไว้อยู่ในมโนสำนึกของคนฟังคนดู มันไม่มีอะไรที่จะเข้ามาทดแทนสำหรับเขาได้ เราได้เห็นคนที่นั่งร้องไห้จากการฟังเพลง นั่นคือการเอาความทรงจำที่ฝังอยู่ในจิตสำนึกขึ้นมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง แต่ก่อนเราไม่รู้ว่า เขาจำเราแบบไหน เราหายไปแล้วเรากลับมา มันไม่มีอะไรมาทดแทนวงไมโครได้ เราได้เห็นคนที่นั่งร้องไห้ นั่นคือความทรงจำที่มันฝังอยู่ในชีวิตของเขากลับขึ้นมาชีวิตอีกครั้ง แต่ก่อนเล่นคอนเสิร์ต มันคือ State of the art สำหรับแฟนเพลงของไมโคร มันเคยไปจุดที่ทำให้ย้อนกลับไปมองไมโคร อ๋อ ไอ้ภาพที่พวกเรายืนรวมตัวกัน หน้าเวทีโยกกีต้าร์แล้วก็เล่นเพลงเดิมที่เราเล่นกัน วันนี้ เรากลับมาเล่นอีกที มันกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากจนคนดูน้ำตาไหล ทำให้เรารู้ว่า พวกเขารักวงไมโครมาก

อันนี้ก็เป็นเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดความตระหนักในความเป็นศิลปิน คือ ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดถึงคำว่าศิลปิน สมัยก่อนเป็นแค่ “ไอ้กบ” เราถึงเข้าใจคำว่า “ศิลปิน” ศิลปินอยู่ในความทรงจำของผู้คน ไม่มีอะไรสวยงามเท่ากับความทรงจำที่อยู่ในใจเขา มันจะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอะไรก็ตาม อย่าไปทำลายความทรงจำของเขาเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้มันไม่ได้สร้างกันง่ายๆ เราถึงรู้ว่า ดนตรีของวงไมโครเหมือนกับอนุสาวรีย์สำหรับเขาเลย

การค้นหาเสียง ค้นหาตัวตน ค้นหาชีวิต

เสียงที่ดีที่สุด ก็ยังอยู่กับเราถึงทุกวันนี้ ภาษาดนตรีเขาเรียกว่า นายเจอหรือยัง? การฝึกดนตรีของแต่ละคนมีเป้าหมายต่างกัน ทุกคนมีสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกว่าเราจะเจอมัน เมื่อเจอแล้ว สิ่งนั้นจะอยู่ติดตัวกับเรา กระทั่งมันกลายเป็นสิ่งที่ทุกคน จำได้ว่ามันคือนาย เสียงนี่คือเสียงนาย โน้ตสำเนียงนี้มันคือนายคนเดียวเหมือนที่เราได้ยินจากพี่ป้อม อัศนี เพลงก็เคยสัญญา โน้ตแบบนี้จะมีใครเล่นได้แบบอัสนี เท่ากับ อัสนี เพลง “วนิพก” ลูกโซโล เล่นได้ทุกคน แต่จะมีใครเล่นแล้วเป็น เล็ก คาราบาว เท่ากับ เล็ก คาราบาว นี่แหละคืออุดมคติของนักดนตรีทุกคน มันอยู่ตรงนี้ บางคนอาจจะบอกว่า ฉันฝึกหนักมากจนฉันกลายเป็น Guthrie Govan แล้วฉันก็จะฝึกต่อไป ฉันจะซ้อมต่อไปจนฉันกลายเป็น John Petrucci ฉันกลายเป็นสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้ แต่ในที่สุด ถ้ายังไม่เจออีก ก็ต้องค้นหาต่อไปและฝึกต่อไป ฝึกมากกว่าเดิม ค้นหาให้มากกว่าเดิม เมื่อเจอตัวเอง เขาอาจจะเก่งกว่ามือกีตาร์ทั่วโลก แต่สิ่งที่เราอยากเป็น อยากเจอ ไม่มีใครรู้ว่า มันอยู่ตรงไหน จุดใด

เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนอื่น ไม่ต้องเป็นอย่าง Steve vai หรือ Joe Satriani พี่ป้อม อัสนี โชติกุล ก็เจอ พี่เล็ก คาราบาว ก็เจอ พี่โอม ชาตรี คงสุวรรณ ก็เจอ พี่อ้วน ไมโคร ก็เจอ ได้เจอสิ่งที่แกชอบ การค้นพบตนเองเป็นสิ่งที่ยาก เหมือนคนบอกว่า ทำไม Carlos Santana โซโล่กีตาร์สู้ Slash ไม่ได้ ทำไม Slash ไม่ใช้เทคนิคนั้น เทคนิคนี้ เหตุผลก็คือ Santana ก็คือ Santana ส่วน Slash ก็คือ Slash สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดนตรีทุกคนรู้ แต่อาจจะยังไม่เคยถามตัวเองว่า มันคืออะไร แต่ทุกคนจะมีสิ่งนี้อยู่ในวิญญาณ จนกว่าจะเจอ แล้วพอเจอก็จะรู้ว่า เจอแล้ว มันคือสิ่งนี้เองที่เป็นตัวตนของฉัน ฉันต้องการแค่นี้ หรือฉันอาจต้องการโซโล่กีตาร์ 20 โน้ตต่อวินาที

สำหรับกีตาร์ จริงเราเล่นกีตาร์แบรนด์ดังน้อยมาก เพราะว่าเวลาเจอกีต้าร์รูปร่างประหลาด เรารู้สึกตื่นเต้นมากกว่า อย่างสมัยหมื่นหาเรนไฮต์ก็เล่นกีตาร์ Kramer หัวเหล็ก 2 แฉก ตอนนั้น ถ้าเราเล่นกิ๊บสันเหมือนเดิมก็ได้ แต่เรารู้สึกว่า Kramer ทำให้เราตื่นเต้นกว่า อะไรก็ได้ที่ทำมันแล้วตื่นเต้น เราเคยมีกีตาร์แพงๆ ดีๆ แต่เราไม่เล่น แล้วก็ตอบตนเองไม่ได้ Gibson Flying V ,Gibson Explorer ไม่เล่นหมายความว่า ไม่เล่นมันทุกวัน กีตาร์ดีๆ เมื่อนำมาบันทึกเสียงก็ใช้งานง่าย ปัญหาน้อย ถ้าเราเจอกีตาร์ที่ถูกออกแบบมาประหลาดประหลาด กีตาร์มือสองเจแปน เราจะตื่นเต้น ท้าทาย เราจะจับมันขึ้นมาดีดๆ ถ้าจะบอกว่า จำได้ว่าพี่กบเล่นกีตาร์ Ibanez rg 550 สีเหลืองมะนาว ในที่สุดเราก็ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งนั้น เราเล่นกีตาร์ Hamer หนังงูเป็นภาพจำของเรา Fender Richie Sambora ก็เป็นกีตาร์ตัวหนึ่งแต่เราก็ไม่ยึดติดอะไรกับของเหล่านี้

เราสนใจเรื่องธุรกิจ แต่เราไม่รู้ว่าเรากำลังสนใจ เราสนใจเรื่องการเทรด ตอนเห็นภาพกราฟ เราสนใจเรื่องการขายอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่คิดว่าตนเองจะทำได้ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราคิดว่าตนเองเหลือเวลาอีกกี่วันในชีวิต แก่เกินกว่าจะเรียนหรือยัง หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนรู้ เราเป็นคนเรียนรู้ช้า แต่เราเลือกเรียนรู้ทีละเรื่อง เจาะทีละเรื่อง เราสะสมแง่มุมต่างๆ เราเชื่อว่า เราทุกคนมีสิ่งที่เราอยากทำมากกว่า 1 อย่าง เพียงแต่เรายังไม่อยากลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เราอยากทำ มันซ่อนอยู่ในใจเรา เราเข้าใจชีวิตแล้วว่า ชีวิตวันหนึ่งมันต้องตาย แต่ก่อนจากไปเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง เราไม่เชื่อการอยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิต เรายังมีสิ่งที่อยากทำ มีแรงที่จะทำ

Spread the love